(30 ก.ย. 68) นิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านตั้งอยู่ที่จังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นกรณีศึกษาสำคัญในการแก้ไขปัญหาการทับซ้อนของพื้นที่ของรัฐที่ยืดเยื้อมานานกว่า 50 ปี และนำไปสู่ โมเดลต้นแบบ ในการแก้ไขปัญหาที่ดินในลักษณะเดียวกันสำหรับพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศ
ประวัติความเป็นมาและปัญหาการทับซ้อน
จุดเริ่มต้นจากการเสียสละเพื่อเขื่อน : นิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน เริ่มต้นขึ้นประมาณปี พ.ศ. 2511 เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรองรับประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการของรัฐต้องอพยพออกจากพื้นที่ที่ถูกน้ำท่วมจากการก่อสร้างเขื่อนสิริกิติ์ การจัดที่ดินดังกล่าวดำเนินการในรูปแบบของการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ. 2511 ซึ่งรัฐบาลในอดีตได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะจัดที่ดินทำกินให้
ความเดือดร้อนที่ยืดเยื้อ : แม้จะมีการจัดตั้งนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน แต่มีราษฎรประมาณ 1,000 กว่าราย ที่ไม่ได้รับเอกสารสิทธิ์ (โฉนดที่ดิน) เนื่องจากพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านดังกล่าวมีปัญหา การทับซ้อนแนวเขต กับหน่วยงานของรัฐถึง 4 หน่วยงาน ประกอบด้วย
- กรมป่าไม้ (ป่าสงวนแห่งชาติ)
- กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช (อุทยานแห่งชาติลำน้ำน่าน และวนอุทยานแห่งชาติห้วยน้ำลี)
- สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (เขตปฏิรูปที่ดิน)
- กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (นิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน)
ราษฎรที่อพยพมาอยู่ในนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน จำนวนมากรู้สึกถึงความ เหลื่อมล้ำ และความไม่เท่าเทียม เนื่องจากคนกลุ่มนี้ต้องเสียสละที่ดินเดิม แต่กลับถูกบอกว่าเป็น ผู้บุกรุก ที่ดินของรัฐ และไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน จึงไม่สามารถที่จะนำไปสู่การมีเอกสารสิทธิ์ทำกินที่จะทำให้เกิดความมั่นคงในการถือครองที่ดิน รวมถึงการที่นำที่ดินไปต่อยอดทางเศรษฐกิจ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนในการพัฒนาอาชีพ ทายาทของผู้ถือครองที่ดินเฝ้ารอ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหาดังกล่าว
แนวทางการแก้ไขปัญหาโดยใช้โมเดล One Map
สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) มีภารกิจในการแก้ไขปัญหาแนวเขตทิ่ดินของรัฐได้เล็งเห็นถึงความเดือดร้อนที่ยาวนานกว่า 50 ปี จึงได้ เร่งรัดปรับปรุงแผนที่แนวเขตที่ดินของรัฐแบบบูรณาการหรือเรียกว่า One Map โดยนำพื้นที่ นิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน (ซึ่งเดิมอยู่ในกลุ่มที่ 7 หรือกลุ่มสุดท้ายของแผนงาน One Map ที่จะดำเนินการ) ขึ้นมาดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนก่อน
การทำงานที่บูรณาการ: การแก้ปัญหาแนวเขตที่ดินทับซ้อนใช้วิธีการทำงานแบบ บูรณาการ โดยมี สคทช. เป็นหน่วยงานกลาง และจัดตั้ง คณะทำงานเฉพาะกิจ เพื่อสำรวจ ตรวจสอบ รวบรวมข้อเท็จจริง และแก้ไขปัญหาที่ดินของราษฎร ในพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ ในระดับพื้นที่ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงอ่านภาพถ่ายทางอากาศในอดีต (นิติวิทยาศาสตร์) เพื่อขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาให้แล้วเสร็จ โดยเร็ว
หลักเกณฑ์ One Map (13 ข้อ) : การกำหนดแนวเขตใหม่ใช้หลักเกณฑ์ One Land One Law (ใช้แผนที่มาตราส่วน 1 : 4000) โดยยึดหลักเกณฑ์ 13 ข้อ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาลำดับศักดิ์ของกฎหมายและ พิจารณาที่มาของกฎหมายจัดตั้งหน่วยงานที่มีผลบังคับใช้ก่อน
ผลการปรับแนวเขต :
- กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชและกรมป่าไม้ถอยแนวเขต: เนื่องจากกฎหมายจัดตั้งอุทยานแห่งชาติลำน้ำน่านและวนอุทยานห้วยน้ำรี ประกาศใช้ ทีหลัง การจัดตั้งนิคม ดังนั้น หน่วยงานเหล่านี้ต้องถอยแนวเขตตามหลักเกณฑ์
- พื้นที่ที่มีสภาพป่าสมบูรณ์และไม่มีร่องรอยการทำประโยชน์ของชาวบ้าน (เช่น พื้นที่ป่าสักประมาณ 1,000 กว่าไร่ ในวนอุทยานห้วยน้ำรี) ถูกส่งคืนให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชไปดูแลทั้งหมด
- กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชถอยแนวเขตออกไปจากพื้นที่นิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านประมาณ 25 ไร่
- การแก้ไขสิทธิ์ของราษฎร : แนวเขตใหม่ถูกปรับเพื่อให้พื้นที่ที่ชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบ (ซึ่งมีรายชื่อตรงตามการจัดตั้งนิคม) อาศัยอยู่ ถูกจัดให้อยู่ในเขตนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านได้อย่างชัดเจน ทำให้เงื่อนไขการได้รับเอกสารสิทธิ์ครบถ้วน
- ส่งผลให้ราษฎรที่ถือเอกสาร น.ค. 3 (หนังสือแสดงการทำประโยชน์ในนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน) จะสามารถนำไปยื่นขอออก โฉนดที่ดินตามหลักเกณฑ์ของโฉนดในเขตนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน ได้โดยไม่ต้องติดปัญหาที่ดินทับซ้อนอีกต่อไป
- พื้นที่เขตปฏิรูปที่ดิน และช่องว่าง (Gap) : พื้นที่ทับซ้อนกับเขตปฏิรูปที่ดิน ที่เกษตรกรได้รับหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก. 4-01) เขตปฏิรูปที่ดิน 4-01 แล้ว (ประมาณ 100 กว่าไร่) มีความประสงค์จะอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อพิจารณาแล้วสามารถดำเนินได้ นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขปัญหา ช่องว่าง (Gap) ของแผนที่ระหว่างพื้นที่ในเขตปฏิรูปที่ดิน ซึ่งต้องลงพื้นที่ตรวจสอบเป็นรายแปลง
ความคืบหน้าและการดำเนินการต่อไป
คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 เห็นชอบตามแนวเขตใหม่และมอบหมายให้ 4 หน่วยงานเจ้าภาพดำเนินการจัดทำ ร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน และกฎหมายลำดับรองที่กำหนดขอบเขตนิคมสร้างตนเองลำน้ำน่านให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน โดยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งดำเนินการ:
- กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และกรมป่าไม้ กำลังอยู่ในขั้นตอนการทำประชาพิจารณ์ และสรุปผล เพื่อเสนอการปรับแผนที่ท้ายกฎหมายของตนเองตามมติ คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 โดยกรมป่าไม้คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 90 วัน
- กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกา ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างการรอเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี เพื่อให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาทบทวนขั้นตอนสุดท้าย
โมเดลนิคมลำน้ำน่านจึงถือเป็นความสำเร็จของ การบูรณาการของทุกหน่วยงาน กลไกที่มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหาที่ดิน เพื่อคืนความเป็นธรรมให้แก่ราษฎรที่รอคอยมานานกว่าห้าทศวรรษ
ผลสำเร็จของการดำเนินงาน ในการแก้ไขปัญหาที่ดินดังกล่าว ทำให้ราษฎรที่เสียสละเพื่อการสร้างเขื่อนสิริกิติ์ และรอคอยเอกสารสิทธิ์มาอย่างยาวนาน สามารถได้รับกรรมสิทธิในที่ดินทำกินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมทั้งลดข้อพิพาทระหว่างหน่วยงานของรัฐลงอย่างเป็นระบบ ก่อให้เกิดความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำ และนำไปสู่ความมั่นคงในชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่
กรณี นิคมสร้างตนเองลำน้ำน่าน จังหวัดอุตรดิตถ์ นับเป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อน โดย สคทช. มีบทบาทสำคัญในการเป็น “กลไกกลางของประเทศ” ที่สามารถประสานความร่วมมือทุกฝ่าย ใช้กฎหมายและข้อมูลเชิงพื้นที่บูรณาการ เพื่อแก้ไขปัญหาการทับซ้อนของพื้นที่รัฐที่ยืดเยื้อมายาวนานกว่า 50 ปี โดยการบูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภายใต้กลไก One Land One Law ซึ่งมีหลักเกณฑ์ชัดเจน โปร่งใส และยึดหลักนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อปลดล็อกปัญหาที่ดินซ้อนทับ และสร้างโมเดลต้นแบบ ในการแก้ไขปัญหาลักษณะเดียวกันสำหรับพื้นที่อื่น ๆ ทั่วประเทศต่อไป
เรียบเรียงโดย กลุ่มงานอำนวยการและประชาสัมพันธ์ สำนักงานผู้อำนวยการ และ กองที่ดินของรัฐ