การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ (Watershed classification, WSC) เป็นการจำแนกชั้นความสำคัญของพื้นที่ในเขตลุ่มน้ำเพื่อกำหนดแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินของแต่ละพื้นที่ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ เนื่องจากในปัจจุบันมีปัญหาความขัดแย้งด้านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติภายในพื้นที่ลุ่มน้ำอยู่เป็นประจำ ตัวอย่างเช่น การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้เพื่อเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารกับการทำเหมืองแร่ ซึ่งหลายพื้นที่หลายแห่งภายในลุ่มน้ำมักจะมีศักยภาพของแร่สูง นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องที่ดินทำกินของราษฎรก็คือ ปัญหาการใช้ที่ดินในลักษณะอื่น ทั้งที่เกิดจากส่วนราชการและเอกชน ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้มีความขัดแย้งกันอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น เพื่อให้การใช้ทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ลุ่มน้ำเป็นไปอย่างเหมาะสมและเกิดข้อขัดแย้งน้อยที่สุดจึงจำเป็นต้องมีการกำหนดพื้นที่ให้ชัดเจนลงไปว่าพื้นที่ใดเหมาะสมกับกิจกรรมใดมากที่สุด และพื้นที่ใดสามารถทำกิจกรรมอะไรได้บ้าง ซึ่งจะช่วยให้การบริหารทรัพยากรธรรมชาติภายในพื้นที่ลุ่มน้ำมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเกิดประโยชน์แก่ทุกฝ่ายมากที่สุด

เดิมกรมป่าไม้ได้เสนอให้มีการกำหนดชั้นและอาณาเขตของป่าต้นน้ำลำธารบริเวณลุ่มน้ำปิงและลุ่มน้ำวังต่อคณะรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามเสนอ ต่อมากรมทรัพยากรธรณีได้ขอให้มีการทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว เนื่องจากในข้อเสนอของกรมป่าไม้ที่ว่าในเขตป่าต้นน้ำลำธารชั้นที่ 1 ห้ามมีการใช้ประโยชน์อย่างเด็ดขาด แต่พื้นที่ในเขตดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพของแร่สูง คณะรัฐมนตรีจึงสั่งการให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง ประกอบด้วย ผู้แทนจากกรมป่าไม้ กรมชลประทาน กรมทรัพยากรธรณี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และสำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ปัจจุบัน คือ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ สผ.) เพื่อพิจารณาทบทวนมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว คณะกรรมการชุดนี้ได้พิจารณาและเห็นควรให้มีการปรับปรุงการกำหนดชั้นและอาณาเขตป่าต้นน้ำลำธารใหม่เพื่อให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และกระทรวงอุตสาหกรรมได้ร่วมกันพิจารณาปรับปรุง แต่ก็ยังหาข้อยุติของความขัดแย้งไม่ได้

เพื่อหาทางยุติข้อขัดแย้งดังกล่าวข้างต้น คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจึงได้หยิบยกปัญหาดังกล่าวข้างต้นมาพิจารณา และได้มีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำขึ้น (ศ.ดร. เกษม จันทร์แก้ว เป็นประธานคณะกรรมการ) พร้อมกับเสนอขออนุมัติโครงการศึกษาเพื่อกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำที่สำคัญของประเทศไทยต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2525 สำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติจึงได้สรรหาหน่วยงานที่เป็นกลางเพื่อทำหน้าที่ศึกษาวิจัยกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ ศึกษาวิจัยแบ่งชั้นคุณภาพลุ่มน้ำที่สำคัญๆ และกำหนดมาตรการการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติในแต่ละชั้นคุณภาพลุ่มน้ำให้สอดคล้องกับหลักการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสภาวะแวดล้อม ซึ่งสำนักงานฯ ได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นผู้ดำเนินการศึกษาวิจัยโครงการดังกล่าว โดยมีคณะกรรมการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำเป็นที่ปรึกษาและกำหนดให้ดำเนินการในลุ่มน้ำสำคัญๆ ของประเทศ คือ ลุ่มน้ำภาคเหนือ (ปิง วัง ยม น่าน) ระหว่าง พ.ศ. 2526-2528 ลุ่มน้ำมูล-ชี ระหว่าง พ.ศ. 2529-2531 ลุ่มน้ำภาคใต้ ระหว่าง พ.ศ. 2530-2531 ลุ่มน้ำภาคตะวันออก พ.ศ. 2532 ลุ่มน้ำภาคตะวันตก ภาคกลาง และลุ่มน้ำป่าสัก พ.ศ. 2533 และ ลุ่มน้ำภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่นๆ (นอกจาก ปิง-วัง-ยม-น่าน และมูล-ชี คือ ลุ่มน้ำชายแดนทั้งหมด) พ.ศ. 2534

หลักเกณฑ์ในการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ ประกอบด้วยปัจจัยทางกายภาพซึ่งมีผลต่อกระบวนการทางอุทกวิทยาและมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก รวม 6 ปัจจัย คือ

  1. สภาพภูมิประเทศ
  2. ระดับความลาดชัน
  3. ความสูงจากระดับน้ำทะเล
  4. ลักษณะทางธรณีวิทยา
  5. ลักษณะปฐพีวิทยา
  6. สภาพป่าไม้ที่เหลืออยู่ในปัจจุบัน (ซึ่งพิจารณาในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 โดยกำหนดให้พื้นที่ที่มีป่าปกคลุมสมบูรณ์ปรากฏอยู่ในภาพถ่ายดาวเทียมปี พ.ศ. 2525 เป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ และพื้นที่ที่ไม่มีป่าปกคลุมเป็นพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี) โดยจะผนวกเอาปัจจัยทั้งหกเป็นรูปของสมการทางคณิตศาสตร์ ซึ่งได้มีการทดสอบและยอมรับจากการประชุมผู้แทนของหน่วยงานต่างๆ แล้ว

พื้นที่ทั้งหมดของลุ่มน้ำจะถูกจำแนกออกเป็น 5 ระดับชั้นคุณภาพตามลำดับความสำคัญในการควบคุมระบบนิเวศของลุ่มน้ำ ซึ่งแต่ละชั้นคุณภาพมีคำนิยามและลักษณะดังต่อไปนี้

  1. พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 หมายถึงพื้นที่ภายในลุ่มน้ำที่ควรจะต้องสงวนรักษาไว้เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธารโดยเฉพาะ เนื่องจากมีลักษณะและสมบัติที่อาจมีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินได้ง่ายและรุนแรง โดยมีค่าดัชนีชั้นคุณภาพลุ่มน้ำที่คำนาณได้จากสมการน้อยกว่า 1:50 ไม่ว่าพื้นที่จะมีป่าหรือไม่มีป่าปกคลุมก็ตาม
    ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 จะแบ่งออกเป็น 2 ระดับชั้นย่อยคือ
    1. พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ หมายถึง พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ที่ยังคงมีสภาพป่าสมบูรณ์ปรากฏอยู่ในปี พ.ศ. 2525 ซึ่งจำเป็นต้องสงวนรักษาไว้เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธารและเป็นทรัพยากรป่าไม้ของประเทศ
    2. พื้นที่ลุ่มน้ำชั้น 1 บี หมายถึง พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ซึ่งสภาพป่าส่วนใหญ่ในพื้นที่ได้ถูกทำลาย ดัดแปลง หรือเปลี่ยนแปลงไปเพื่อพัฒนาการใช้ที่ดินรูปแบบอื่นก่อนหน้าปี พ.ศ. 2525 และการใช้ที่ดินหรือการพัฒนารูปแบบต่างๆ ที่ดำเนินการไปแล้ว จะต้องมีมาตรการควบคุมเป็นพิเศษ
  2. พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 2 หมายถึง พื้นที่ภายในลุ่มน้ำซึ่งมีค่าดัชนีชั้นคุณภาพลุ่มน้ำที่คำนาณได้จากสมการอยู่ระหว่าง 1.5 ถึงน้อยกว่า 2.21 โดยลักษณะทั่วไปมีคุณภาพเหมาะต่อการเป็นต้นน้ำลำธารในระดับรองลงมา และสามารถใช้ประโยชน์เพื่อกิจการที่สำคัญได้ เช่น การทำเหมืองแร่ เป็นต้น
  3. พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 3 หมายถึง พื้นที่ภายในลุ่มน้ำซึ่งมีค่าดัชนีชั้นคุณภาพลุ่มน้ำที่คำนาณได้จากสมการอยู่ระหว่าง 2.21 ถึง 3.20 และพื้นที่โดยทั่วไปสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งกิจการทำไม้ เหมืองแร่ และปลูกพืชกสิกรรมประเภทไม้ยืนต้น
  4. พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 4 หมายถึง พื้นที่ภายในลุ่มน้ำซึ่งมีค่าดัชนีชั้นคุณภาพลุ่มน้ำที่คำนาณได้จากสมการอยู่ระหว่าง 3.20 ถึง 3.99 และสภาพป่าได้ถูกบุกรุกแผ้วถางเป็นที่ใช้ประโยชน์เพื่อกิจการพืชไร่เป็นส่วนมาก
  5. พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 5 หมายถึง พื้นที่ภายในลุ่มน้ำซึ่งมีค่าดัชนีชั้นคุณภาพลุ่มน้ำที่คำนาณได้จากสมการมากกว่า 3.99 ขึ้นไป ลักษณะโดยทั่วไปเป็นที่ราบหรือที่ลุ่ม หรือเนินลาดเอียงเล็กน้อย และส่วนใหญ่ป่าไม้ได้ถูกบุกรุกแผ้วถางเพื่อประโยชน์ด้านเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทำนาและกิจการอื่นๆ ไปแล้ว

การจำแนกหรือกำหนดลักษณะของชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ และมาตรการปฏิบัติ

ผลการศึกษาได้จำแนกชั้นคุณภาพลุ่มน้ำทั้ง 5 ระดับชั้นลงบนแผนที่ภูมิประเทศ ขนาดมาตราส่วน 1:50,000 โดยในลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ซึ่งเป็นพื้นที่ที่สำคัญที่สุดจำแนกออกเป็น เขตลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ หมายถึง ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ที่ยังมีสภาพป่าสมบูรณ์ จะไม่ให้มีการใช้พื้นที่ในทุกกรณี ทั้งนี้ เพื่อรักษาไว้เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธารอย่างแท้จริง เนื่องจากพื้นที่ยังคงมีสภาพป่าสมบูรณ์ ต้องสงวนไว้เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธารและเป็นทรัพยากรป่าไม้ของประเทศ และเขตลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี หมายถึงลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ที่สภาพป่าส่วนใหญ่ได้ถูกทำลาย ดัดแปลง หรือเปลี่ยนแปลงเพื่อพัฒนาการใช้ที่ดินในรูปแบบอื่นไปแล้วก่อนปี 2525 การใช้ที่ดินหรือการพัฒนาที่ดินจะต้องมีมาตรการควบคุมเป็นพิเศษ อนึ่ง สำหรับลุ่มน้ำภาคกลาง ภาคตะวันตก ป่าสัก และลุ่มน้ำภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือส่วนอื่นๆ (ลุ่มน้ำชายแดน) ได้มีการจำแนกชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้น 1 เอ เป็น 1 เอเอ็ม (1AM) หรือลุ่มน้ำชั้น 1 เอ ที่มีศักยภาพด้านแร่ และลุ่มน้ำชั้น 1 บี เป็น 1 บีเอ็ม (1BM) หรือลุ่มน้ำชั้น 1 บี ที่มีศักยภาพด้านแร่ เนื่องจากมีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2534 (เกี่ยวกับพื้นที่ศักยภาพแร่) ออกมาบังคับใช้

พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 หมายถึง พื้นที่ภายในลุ่มน้ำที่ควรจะต้องสงวนรักษาไว้เป็นต้นน้ำลำธารโดยเฉพาะ ซึ่งมีองค์ประกอบรวมกันดังนี้

  1. เป็นพื้นที่สูงหรือบริเวณที่อยู่ตอนบนของลุ่มน้ำ ที่จำเป็นต้องอนุรักษ์ไว้เป็นต้นน้ำลำธารเนื่องจากมีลักษณะและสมบัติที่อาจมีผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินได้ง่ายและรุนแรง
  2. ส่วนมากเป็นเทือกเขาที่เต็มไปด้วยหุบเขา หน้าผา ยอดเขาแหลม และ/หรือร่องน้ำจำนวนมาก ซึ่งปกคลุมหรือเคยปกคลุมด้วยป่าดงดิบ ป่าดิบเขา หรือป่าสนเขา และ/หรือป่าชนิดอื่นๆ
  3. ส่วนใหญ่มีความลาดชันโดยเฉลี่ยของพื้นที่ตั้งแต่ 60% ขึ้นไป
  4. มีลักษณะทางธรณีวิทยาที่ประกอบด้วยหินซึ่งให้กำเนิดดินที่ง่ายต่อการพังทลาย

มาตรการการใช้ที่ดินในลุ่มน้ำชั้นที่ 1 นั้น จำแนกออกเป็น 2 ชั้นคือ 1 เอ และ 1 บี ดังนี้

มาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ

  1. ห้ามมิให้มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะพื้นที่ป่าไม้เป็นรูปแบบอื่นอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้เพื่อรักษาไว้เป็นพื้นที่ต้นน้ำลำธารอย่างแท้จริง
  2. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องบำรุงรักษาป่าธรรมชาติที่มีอยู่ และระงับการอนุญาตทำไม้โดยเด็ดขาด และให้ดำเนินการป้องกันการลักลอบตัดไม้ทำลายป่าอย่างเข้มงวดกวดขัน
    การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินใดๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ลุ่มน้ำ 1 เอ ภายหลังปี พ.ศ. 2525 กำหนดให้ใช้มาตรการดังนี้
  3. บริเวณพื้นที่ใดที่ได้กำหนดเป็นลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ไว้แล้ว หากภายหลังการสำรวจพบว่าเป็นที่รกร้างว่างเปล่าหรือป่าเสื่อมโทรม ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปลูกป่าทดแทนต่อไป
  4. บริเวณใดที่มีราษฎรอาศัยอยู่ดั้งเดิมอย่างเป็นการถาวรแล้ว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดที่ทำกินให้เป็นการถาวร เพื่อมิให้มีการโยกย้ายและทำลายป่าให้ขยายขอบเขตออกไปอีก

มาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี

  1. พื้นที่ใดที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงสภาพเพื่อประกอบการกสิกรรมรูปแบบต่างๆ ไปแล้ว ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันพิจารณาดำเนินการกำหนดการใช้ที่ดินให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐ ทั้งทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
  2. บริเวณใดที่ได้รับการพัฒนาเพื่อเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจในรูปแบบต่างๆ ไปแล้ว หากจะมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงใด จะต้องดำเนินการวางแผนการใช้ที่ดินให้สอดคล้องกับสภาพธรรมชาติในลักษณะที่เอื้ออำนวยต่อการรักษาดุลยภาพของลักษณะทางนิเวศวิทยาและการอนุรักษ์ธรรมชาติ
  3. บริเวณพื้นที่ใดที่ไม่เหมาะสมต่อการเกษตรหรือการพัฒนาในรูปแบบอื่นๆ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปลูกป่าฟื้นฟูสภาพต้นน้ำลำธารอย่างรีบด่วน
  4. ในกรณีที่ต้องมีการก่อสร้างถนนผ่านเข้าไปในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นนี้ หรือการทำเหมืองแร่ หน่วยงานที่รับผิดชอบในโครงการจะต้องดำเนินการควบคุมการชะล้างพังทลายของดินที่เกิดขึ้นในบริเวณโครงการเนื่องจากการปฏิบัติงานในระหว่างดำเนินการและภายหลังเสร็จสิ้นโครงการ มิให้ลงสู่แหล่งน้ำ ทำให้เกิดอันตรายแก่สัตว์น้ำและไม่สามารถนำมาอุปโภคบริโภคได้
  5. ในกรณีที่ส่วนราชการใดมีความจำเป็นต้องใช้ที่ดินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติแล้ว ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการดังกล่าวนำโครงการนั้นเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติเพื่อพิจารณาต่อไป

พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 2 หมายถึง พื้นที่ภายในลุ่มน้ำซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสมต่อการเป็นต้นน้ำลำธารในระดับรองลงมา และสามารถนำมาใช้ประโยชน์เพื่อกิจการที่สำคัญ เช่น การทำไม้ และเหมืองแร่ เป็นต้น ซึ่งมีองค์ประกอบร่วมกันดังนี้คือ

  1. เป็นพื้นที่ภูเขาบนพื้นที่สูงที่มีลักษณะสันเขามนและความกว้างไม่มากนัก หรือเป็นบริเวณลาดเขาที่มีแนวความลาดเทยาวปานกลาง มีร่องน้ำค่อนข้างกว้าง มีป่าดงดิบที่ถูกแผ้วถางหรือป่าปกคลุมมีสภาพเสื่อมโทรม แต่ส่วนใหญ่เป็นป่าเบญจพรรณ และ/หรือป่าเต็งรัง
  2. มีความลาดชันของพื้นที่โดยเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 35 - 50%
  3. มีลักษณะทางธรณีที่ประกอบด้วยหิน ซึ่งให้กำเนิดดินที่ง่ายต่อการชะล้างพังทลาย
  4. มีดินตื้นถึงลึกปานกลาง ความอุดมสมบูรณ์ต่ำถึงปานกลางและมีสมรรถนะการพังทลายสูง

มาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 2

  1. การใช้พื้นที่ทำกิจการป่าไม้และเหมืองแร่ ควรอนุญาตให้ได้ แต่จะต้องมีการควบคุมวิธีการปฏิบัติในการใช้ที่ดินเพื่อการนั้นๆ อย่างเข้มงวดกวดขันและเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติของทางราชการเพื่อมิให้เกิดความเสียหายแก่พื้นที่ต้นน้ำลำธารและพื้นที่ตอนล่างอย่างเด็ดขาด
  2. การใช้ที่ดินเพื่อกิจการทางด้านเกษตรกรรม ควรหลีกเลี่ยงอย่างเด็ดขาด
  3. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการปลูกป่าในบริเวณที่ถูกทำลายโดยรีบด่วน

พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 3 หมายถึง พื้นที่ภายในลุ่มน้ำซึ่งสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งกิจการทำไม้ เหมืองแร่ และเพื่อปลูกพืชกสิกรรมประเภทไม้ยืนต้น โดยมีองค์ประกอบร่วมกันดังนี้

  1. ส่วนมากมีลักษณะเป็นที่ดินที่ประกอบด้วยที่ราบขั้นบันไดมีเนินสลับหรือบริเวณที่ลาดเทตีนเขา หรือบริเวณของร่องน้ำที่ปรับสภาพแล้ว ป่าส่วนใหญ่ที่ขึ้นปกคลุมหรือเคยขึ้นปกคลุมเป็นป่าเบญจพรรณ หรือป่าเต็งรัง หรือป่าดงดิบ
  2. ส่วนใหญ่มีความลาดชันของพื้นที่โดยเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 25 - 35%
  3. มีลักษณะทางธรณีที่ประกอบด้วยหิน หรือตะกอนที่ทับถมจากแรงโน้มถ่วงของโลก ซึ่งให้กำเนิดดินที่ค่อนข้างยากต่อการถูกชะล้างพังทลาย
  4. มีดินลึกปานกลาง ถึงลึก ความอุดมสมบูรณ์ปานกลางถึงสูง แต่มีสมรรถนะการพังทลายปานกลาง

มาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 3

  1. การใช้พื้นที่ทำกิจการป่าไม้ เหมืองแร่ กสิกรรม หรือกิจการอื่นๆ อนุญาตให้ได้ แต่ต้องมีการควบคุมวิธีการปฏบัติอย่างเข้มงวดให้เป็นไปตามหลักการอนุรักษ์ดินและน้ำ
  2. การใช้ที่ดินเพื่อการกสิกรรมในลุ่มน้ำชั้นนี้ควรต้องปฏิบัติดังนี้
    1. บริเวณที่มีดินลึกมากกว่า 50 ซ.ม. ให้ใช้เป็นบริเวณที่ปลูกไม้ผล ไ้เศรษฐกิจ และพืชเศรษฐกิจยืนต้นอื่นๆ ได้ตามความเหมาะสม แต่ต้องใช้มาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำที่ถูกต้อง
    2. บริเวณที่มีดินลึกน้อยกว่า 50 ซ.ม. ที่ไม่เหมาะสมกับกิจการทางการกสิกรรม สมควรใช้เป็นพื้นที่ป่าไม้หรือทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์

พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 4 หมายถึง พื้นที่ภายในลุ่มน้ำที่สภาพป่าได้ถูกบุกรุกแผ้วถางเป็นที่ใช้ประโยชน์เพื่อกิจการพืชไร่เป็นส่วนมาก โดยทั่วไปมีองค์ประกอบร่วมกันดังนี้

  1. เป็นเนินเขาหรือที่ราบขั้นบันได หรือช่วงต่อระหว่างที่ราบลุ่มกับเชิงเขา หรือพื้นที่สองฝั่งลำน้ำที่ยังอยู่บนที่ดิน ซึ่งป่าที่ปกคลุมหรือที่เคยปกคลุมอยู่เป็นป่าผลัดใบ ป่าเต็งรัง และ/หรือป่าละเมาะ
  2. มีความลาดชันของพื้นที่โดยเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 6 - 25%
  3. มีลักษณะทางธรณีที่ประกอบด้วยหินหรือตะกอน ซึ่งให้กำเนิดดินที่ยากต่อการถูกชะล้างพังทลาย
  4. ดินลึกถึงค่อนข้างลึก ความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างสูง และมีสมรรถนะการพังทลายต่ำ

มาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 4

  1. การใช้พื้นที่ทำเหมืองแร่ ป่าไม้ และกิจการอื่นๆ ให้อนุญาตได้ตามปกติโดยให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบของทางราชการโดยเคร่งครัด
  2. การใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในลุ่มน้ำชั้นนี้ควรต้องปฏิบัติดังนี้
    1. บริเวณที่มีความลาดชัน 18 - 25% และดินลึกน้อยกว่า 50 ซ.ม. สมควรใช้เป็นพื้นที่ป่าไม้และไม้ผล โดยมีการวางแผนการใช้ที่ดินตามมาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำ
    2. บริเวณที่มีความลาดชันระหว่าง 6 - 18% ควรจะใช้เพาะปลูกพืชไร่ นา โดยมีมาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำ

พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 5 หมายถึง พื้นที่ภายในลุ่มน้ำซึ่งเป็นที่ราบหรือที่ลุ่ม หรือเนินลาดเอียงเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่ป่าได้ถูกบุกรุกแผ้วถางเพื่อใช้ประโยชน์ด้านเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทำนาและกิจการอื่นๆ โดยทั่วไปมีองค์ประกอบร่วมกันดังนี

  1. เป็นที่ราบ ที่ลุ่ม หรือเนินลาดเอียงเล็กน้อยสองฝั่งลำน้ำ ซึ่งส่วนใหญ่กลายสภาพเป็นทุ่งนา แต่บางพื้นที่อาจยังเป็นป่าละเมาะ ป่าแสม ป่าผลัดใบ ป่าดงดิบ หรือป่าเต็งรัง
  2. ส่วนใหญ่มีความลาดชันของพื้นที่โดยเฉลี่ยต่ำกว่า 6%
  3. ลักษณะทางธรณีเป็นพวกดินตะกอน
  4. ดินลึกถึงลึกมาก ความอุดมสมบูรณ์สูง และมีความคงทนต่อการถูกชะล้างพังทลาย

มาตรการการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 5

  1. การใช้พื้นที่ทำกิจการเหมืองแร่ การเกษตร ป่าไม้ และกิจการอื่นๆ ให้อนุญาตได้ตามปกติ
  2. การใช้ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมในลุ่มน้ำชั้นนี้จะต้องปฏิบัติดังนี้
    1. บริเวณที่มีดินลึกน้อยกว่า 50 ซ.ม. ควรใช้เป็นพื้นที่ปลูกพืชไร่ ป่าเอกชน ไม้ผล และทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ หรือเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ
    2. บริเวณที่มีดินลึกมากกว่า 50 ซ.ม. ควรใช้เป็นพื้นที่ปลูกข้าวและพืชไร่ และต้องระมัดระวังดูแลรักษาอย่างสม่ำเสมอ
  3. ในกรณีที่จะใช้ที่ดินในชั้นคุณภาพนี้เพื่อการอุตสาหกรรม ควรหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่มีศักยภาพทางการเกษตรสูง

การกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำมีความสัมพันธ์กับการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ ทรัพยากรและที่ดินป่าไม้ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (โซนนิ่งป่าไม้) อย่างไร?

ในการกำหนดเขตการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและที่ดินป่าไม้ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 10 และ 17 มีนาคม 2535 ได้นำผลจากการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำไปใช้เป็นกรอบในการจำแนกพื้นที่ โดยพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ถูกกำหนดเป็นเขตป่าเพื่อการอนุรักษ์ (โซน C) และพื้นที่ส่วนใหญ่ของลุ่มน้ำชั้นที่ 1 (ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ และ 1 บี) จะซ้อนทับกับเขตอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บางส่วนซ้อนทับกับป่าเพื่อการอนุรักษ์เพิ่มเติม

สำหรับมาตรการการใช้ประโยชน์ทรัพยากรและที่ดินป่าไม้ในพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์ (โซน C) กำหนดให้ "การขอใช้ประโยชน์เพื่อกิจการใดๆ ให้ดำเนินการตามกฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี และระเบียบที่เกี่ยวข้อง"

ส่วนมาตรการสำหรับพื้นที่ป่าเพื่อการอนุรักษ์เพิ่มเติม ที่สำคัญได้แก่

  1. ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่ในโครงการที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้ดำเนินการดังนี้
    1. ให้ส่วนราชการเจ้าของโครงการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการผ่านคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อประกอบการพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีเป็นรายๆ ไป
    2. ในการใช้เส้นทางให้พิจารณาเฉพาะเส้นทางที่มีอยู่เดิมตามระเบียบและหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ หากเป็นการขยายเส้นทางหรือสร้างทางใหม่ ให้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการผ่านคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เพื่อประกอบการพิจารณานำเสนอคณะรัฐมนตรีเป็นรายๆ ไป
  2. ในกรณีการสำรวจแหล่งแร่ การทำเหมืองแร่และอุตสาหกรรมระเบิดย่อยหิน ให้ดำเนินการตามนัยกฎหมาย มติคณะรัฐมนตรี และระเบียบที่เกี่ยวข้อง
  3. ในกรณีที่มีการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์นอกจากข้อ 1 และข้อ 2 ไปแล้ว เมื่อหมดอายุการอนุญาต ให้งดการต่ออายุใบอนุญาตโดยเด็ดขาด

เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ในอดีตประเทศไทยมิได้มีการกำหนดกรอบหรือหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนในการใช้ประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติภายในพื้นที่ลุ่มน้ำ ดังนั้น เมื่อนำผลจากการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำไปใช้เป็นกรอบหรือนโยบายในการจัดการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ซึ่งกำหนดมาตรการการใช้ที่ดินโดยห้ามมิให้มีการดำเนินกิจกรรมใดๆ โดยเด็ดขาด ย่อมมีผลกระทบต่อโครงการ/กิจกรรมการพัฒนาต่างๆ ของภาครัฐและเอกชน รวมถึง การตั้งถิ่นฐานของประชาชนบนพื้นที่สูง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าชาติพันธุ์ซึ่งอาศัยอยู่ตามเทือกเขาในเขตลุ่มน้ำชั้นที่ 1  ดังนั้น จึงต้องมีการประสานนโยบายระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน

โครงการของรัฐซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ มีหลากหลายประเภทได้แก่ เส้นทางคมนาคมต่างๆ ทั้งถนนและทางรถไฟ เขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำ แนวสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ สถานที่ราชการ โครงการพิเศษต่างๆ เป็นต้น โครงการต่างๆ ดังกล่าวที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจหรือความมั่นคงของประเทศ คณะรัฐมนตรีอาจจะพิจารณาผ่อนผันการใช้ประโยชน์พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เป็นการเฉพาะกรณีได้ โดยกำหนดให้มีการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เพื่อใช้เป็นกลไกในการจัดการป้องกัน แก้ไข หรือฟื้นฟูสภาพแวดล้อม ทั้งในช่วงการก่อสร้างโครงการและหลังจากที่การก่อสร้างแล้วเสร็จ

โครงการของเอกชนที่เกี่ยวข้องได้แก่ การทำเหมืองแร่ การระเบิดและย่อยหิน ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพแร่สูง หากอยู่ในเขตลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ก็จะไม่สามารถดำเนินการขอต่ออายุประทานบัตรหรือสัมปทานได้ แต่สำหรับในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 บี หากจะทำเหมืองแร่ก็สามารถขออนุมัติต่อคณะรัฐมนตรีเป็นรายๆ ไป และหากมีการระเบิดและย่อยหินอยู่แล้ว และประสงค์จะขอต่ออายุใบอนุญาต ก็สามารถดำเนินการได้อีก 1 ครั้ง (ระยะเวลา 5 ปี) เป็นต้น อย่างไรก็ตามหากพิจารณาผลดีและผลเสียของการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำในภาพรวม แล้ว จะมีผลดีมากกว่าผลเสีย เนื่องจากประเทศไทยจะสามารถรักษาพื้นที่ป่าต้นน้ำลำธารที่สำคัญเอาไว้ได้ บนพื้นฐานของหลักเกณฑ์ทางวิชาการ ซึ่งหากพิจารณาถึงสถานะของการเป็นป่าต้นน้ำลำธารที่สำคัญแล้ว ประเทศไทยมีพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 รวมทั้งประเทศอยู่เพียงประมาณร้อยละ 18 เท่านั้น

นับแต่มีมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ ก็ได้มีส่วนราชการหลายหน่วยงานรวมทั้งภาคเอกชน เสนอขอผ่อนผันยกเว้นมติคณะรัฐมนตรีเพื่อเข้าใช้ประโยชน์ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ เพื่อดำเนินโครงการ/กิจกรรมต่างๆ ต่อมา คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2546 กำหนดให้ "..กรณีจำเป็นที่ต้องขอผ่อนผันการใช้พื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 เอ ต่อคณะรัฐมนตรี ส่วนราชการจะต้องจัดทำรายงานการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม เสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาก่อน เพื่อเสนอความเห็นประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีทุกครั้ง"

มีปัญหาและอุปสรรคต่อการดำเนินงานการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำหรือไม่ หากมีจะมีวิธีแก้ไขอย่างไร

ปัญหาอุปสรรคของการดำเนินนโยบายการกำหนดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นที่ 1 ได้แก่ ปัญหาการตั้งถิ่นฐานและทำเกษตรกรรมของราษฎรในพื้นที่สงวนหวงห้ามและไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินทำกิน ปัญหาการดำเนินโครงการของภาครัฐบางประเภท ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงการใช้พื้นที่ได้ อีกทั้งหน่วยงานปฏิบัติอาจจะยังมิได้กำหนดกรอบหรือแนวทางปฏิบัติของตนให้สอดคล้องกับมาตรการการใช้ที่ดินในเขตพื้นที่ลุ่มน้ำ
สำหรับวิธีการแก้ไขจะต้องอาศัยปัจจัยหลายปัจจัย เช่น การกำหนดรูปแบบการบริหารให้เกิดการประสานการดำเนินงานต่างๆ ในพื้นที่ลุ่มน้ำอย่างเป็นระบบและจริงจัง โดยอาจกำหนดให้มีกฎหมายและองค์กรเกี่ยวกับการรักษาพื้นที่ลุ่มน้ำหรือป่าต้นน้ำลำธารที่สำคัญเป็นการเฉพาะ เป็นต้น


epetitions

complaint

Slide

รางวัล คนดีศรี สคทช. ประจำปี 2567

Slide

รางวัล คนดีศรี สคทช. ประจำปี 2567

Slide

รางวัล คนดีศรี สคทช. ประจำปี 2567

Slide

รางวัล คนดีศรี สคทช. ประจำปี 2567

Slide

รางวัล คนดีศรี สคทช. ประจำปี 2567

Slide

รางวัล คนดีศรี สคทช. ประจำปี 2567

Slide

รางวัล คนดีศรี สคทช. ประจำปี 2567

Slide

รางวัล คนดีศรี สคทช. ประจำปี 2567

previous arrow
next arrow
Slide