เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2559 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พร้อมด้วย นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พลเอกสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ลงพื้นที่ติดตามผลสัมฤทธิ์การบูรณาการความร่วมมือของคณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินจังหวัดน่าน ณ จุดชมวิวบ้านน้ำป้าก ตำบลตาลชุม อำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน โดยมี นายไพศาล วิมลรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน ผู้บริหารส่วนท้องถิ่น ข้าราชการและประชาชนชาวจังหวัดน่านให้การต้อนรับ
ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้เป็นประธานสักขีพยาน ในการมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (ป.ส.23) ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน เพื่อมอบให้แก่ราษฎร 5 พื้นที่ คือ
- พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าน้ำยาวและป่าน้ำสวด ให้แก่ราษฎรบ้านน้ำป้าก และบ้านห้วยธนู ตำบลตาลชุม อำเภอท่าวังผา จำนวน 2,353 ไร่
- พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำยาวและป่าน้ำสวด ให้แก่ราษฎรบ้านน้ำมืด ตำบลเปือ อำเภอเชียงกลาง จำนวน 183 ไร่
- พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำยาวและป่าน้ำสวด ให้แก่ราษฎรในท้องที่ตำบลยอด อำเภอสองแคว 6,269 ไร่
- พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าน้ำยาวและป่าน้ำสวด ให้แก่ราษฎรในท้องที่ตำบลพี้ อำเภอบ้านหลวง 3,454 ไร่
- พื้นที่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ป่าฝั่งขวาแม่น้ำน่านตอนใต้ ให้แก่ราษฎรในท้องที่ตำบลบัวใหญ่ อำเภอนาน้อย 2,796 ไร่
รวมทั้งสิ้น 15,055 ไร่ 2,176 แปลง มีราษฎรได้รับประโยชน์ 1,358 ราย
นายกรัฐมนตรี กล่าวกับประชาชนว่า การมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรือที่อยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ (ป.ส.23) เป็นการจัดที่ดินให้กับชุมชนและประชาชน เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมให้ถูกต้อง ซึ่งเป็นการดำเนินงานตามคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ที่มีความตั้งใจในการจัดสรรพื้นที่ทำกินให้มีความเพียงพอต่อความต้องการของประชาชนที่มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้น ดังนั้น จึงต้องมีการปรับพื้นที่ให้เหมาะสมอย่างเป็นธรรมและถูกกฎหมาย โดยมีพื้นที่ของการอยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน พื้นที่ป่าเศรษฐกิจ พื้นที่ป่าชุมชน และพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่จะเป็นป่า เป็นภูเขา ซึ่งถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับปริมาณประชากรที่เพิ่มขึ้น และพฤติกรรมของสังคมที่มีความเปลี่ยนแปลง จึงทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนพื้นที่ทำกินของประชาชน ดังนั้น ภาครัฐได้เข้ามาดำเนินการสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาอาชีพให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลง โดยต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นเอกลักษณ์ของพื้นที่ด้วย พร้อมทั้งขอให้ประชาชนที่อยู่อาศัยหรือทำมาหากินในพื้นที่ผิดกฎหมาย หยุดการกระทำ เพราะจะส่งผลเสียต่อประเทศชาติในอนาคตข้างหน้า โดยสั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ไปสานต่อภารกิจ ออกเป็นนโยบายของกระทรวง
cr. thaigov.go.th