เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2567 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และกำกับการบริหารราชการ สคทช. และคณะ ลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานด้านการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นและการส่งเสริมพัฒนาอาชีพให้แก่ประชาชนในพื้นที่ คทช. จังหวัดเชียงราย และมอบนโยบายเกี่ยวกับการบริหารจัดการที่ดินและการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในพื้นที่การจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน (คทช.) เพื่อให้เกิดการบูรณาการร่วมกันและเกิดผลเป็นรูปธรรม โดยมี ดร.รวีวรรณ ภูริเดช ผู้อำนวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พร้อมคณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ สคทช. ผู้แทนหน่วยงานภาคีเครือข่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนในจังหวัดเชียงราย และประชาชน ร่วมให้การต้อนรับ ณ สหกรณ์การเกษตรเวียงชัย อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย
นายภูมิธรรมฯ กล่าวว่า พื้นที่ภาคเหนือนับว่าเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติ และประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกร การจัดที่ดินในบางพื้นที่มีความยากลำบาก เนื่องจากที่ดินกระจัดกระจาย ไม่ได้อยู่รวมกันเป็นผืนใหญ่ ซึ่งเป็นความยากในการทำงานของภาครัฐที่จะพัฒนาระบบสาธารณูปโภคให้เข้าถึงเกษตรกรอย่างทั่วถึง แต่เมื่อ คทช. ได้คัดเลือกพื้นที่ และจัดประชาชนให้เข้าทำประโยชน์แล้ว ก็เป็นหน้าที่ของ คทช. เช่นกัน ที่จะต้องทำให้ประชาชนสามารถอยู่ได้ สามารถทำมาหากิน มีไฟฟ้าใช้ มีน้ำสำหรับบริโภคและทำการเกษตรอย่างเพียงพอ โดย คทช.จังหวัด ควรดำเนินการสำรวจพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการจัดประชาชนเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตแล้ว รวมถึงพื้นที่ที่จะดำเนินการในอนาคต หากยังมีพื้นที่ใดที่น้ำไฟยังไม่ทั่วถึงไม่สามารถขยายเขตสายส่งหรือระบบชลประทานได้ หน่วยงานที่เป็นเจ้าของพื้นที่ และหน่วยงานที่จัดหาสาธารณูปโภค ทั้งการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กรมทรัพยากรน้ำ และกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ต้องทำงานร่วมมือและสนับสนุนกัน ทำให้ประชาชนมีปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีพได้ ทั้งนี้ นายภูมิธรรมฯ ได้เน้นย้ำถึงการยกระดับรายได้ให้ประชาชนในพื้นที่ คทช. ก็เป็นเรื่องที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ซึ่งหน่วยงานราชการและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องควรร่วมมือกันช่วยหาหนทางในการพัฒนาผลผลิตการเกษตรขั้นพื้นฐาน ให้กลายเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น และต้องเป็นที่ต้องการของตลาดด้วย ในหลักการ “พัฒนาสินค้าขึ้นมาแล้วต้องขายได้”
ด้าน ดร.รวีวรรณฯ กล่าวว่า ภาพรวมผลการดำเนินการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ซึ่งประกอบด้วย จังหวัดเชียงราย จังหวัดพะเยา จังหวัดน่าน และจังหวัดแพร่ มีผลการดำเนินงานดังนี้
- จังหวัดเชียงราย มีพื้นที่เป้าหมาย จำนวน 23 พื้นที่ เนื้อที่ 138,010 - 3 - 31 ไร่ ได้รับหนังสืออนุญาตแล้ว 13 พื้นที่ และราษฎรได้รับอนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่แล้ว จำนวน 9,070 ราย 11,872 แปลง รวมทั้งมีการดำเนินการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาด 6 ด้าน จำนวน 6 พื้นที่ 2,193 ราย และมีการสร้างความเข้มแข็งด้านการรวมกลุ่ม มีการบูรณาการร่วมกับสหกรณ์ที่มีอยู่ในพื้นที่เกษตรกรในพื้นที่ คทช. จำนวน 9 สหกรณ์
- จังหวัดพะเยา มีพื้นที่เป้าหมาย จำนวน 12 พื้นที่ เนื้อที่ 45,144 - 1 - 50 ไร่ ได้รับหนังสืออนุญาตแล้ว 11 พื้นที่ และราษฎรได้รับอนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่แล้ว จำนวน 5,454 ราย 4,054 แปลง รวมทั้งมีการดำเนินการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาด 6 ด้าน จำนวน 10 พื้นที่ 420 ราย และจังหวัดพะเยาได้มีการจัดตั้งสหกรณ์ใหม่ในพื้นที่เกษตรกรในพื้นที่ คทช. จำนวน 1 สหกรณ์ คือ สหกรณ์การเกษตรพัฒนาแม่จุน จำกัด
- จังหวัดแพร่ มีพื้นที่เป้าหมาย จำนวน 42 พื้นที่ เนื้อที่ 27,378 - 3 - 89 ไร่ ได้รับหนังสืออนุญาตแล้ว 13 พื้นที่ และราษฎรได้รับอนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่แล้ว จำนวน 877 ราย 954 แปลง รวมทั้งมีการดำเนินการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาด 6 ด้าน จำนวน 3 พื้นที่ 145 ราย และมีการสร้างความเข้มแข็งด้านการรวมกลุ่ม มีการบูรณาการร่วมกับสหกรณ์ที่มีอยู่ในพื้นที่เกษตรกรในพื้นที่ คทช. จำนวน 3 สหกรณ์
- จังหวัดน่าน มีพื้นที่เป้าหมาย จำนวน 35 พื้นที่ เนื้อที่ 272,648 - 0 - 72 ไร่ ได้รับหนังสืออนุญาตแล้ว 35 พื้นที่ และราษฎรได้รับอนุญาตเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่แล้ว จำนวน 9,214 ราย 11,671 แปลง รวมทั้งมีการดำเนินการส่งเสริมพัฒนาอาชีพและการตลาด 6 ด้าน จำนวน 2,189 ราย และมีการสร้างความเข้มแข็งด้านการรวมกลุ่ม มีการบูรณาการร่วมกับสหกรณ์ที่มีอยู่ในพื้นที่เกษตรกรในพื้นที่ คทช. จำนวน 6 สหกรณ์
ทั้งนี้ สคทช. มีแผนขับเคลื่อนเร่งรัดการจัดที่ดินทำกิน เพื่อนำไปสู่การออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์ เพื่อให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐด้านอื่น ๆ การพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การส่งเสริมอาชีพและการตลาด การสร้างมูลค่าในที่ดินของรัฐ การยกระดับสหกรณ์นำไปสู่การเปลี่ยนผู้ขอรับการอนุญาตจากผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นสหกรณ์ โดยเป็นสหกรณ์ที่มีความเข้มแข็ง พึ่งพาตนเอง และบริหารจัดการที่ดินได้ ในอนาคต เกษตรกรสามารถพึ่งพาตนเอง พัฒนาสังคม เศรษฐกิจในชุมชนให้เกิดความเข้มแข็ง ยั่งยืนต่อไป