“วัด” ถือเป็นสถานที่ที่สำคัญต่อวิถีชีวิตของชาวพุทธ เป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจใช้ประกอบงานพิธีกรรมต่างๆ ตามวัฒนธรรม ประเพณี การบวช การทำบุญในวาระต่างๆ ตลอดจนพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย วัดจึงอยู่คู่กับคนไทยตั้งแต่เกิดจนตาย ...
โดย นายชัชวาลย์ ชานุวัฒน์
นิติกรชำนาญการ
กองกฎหมาย กลุ่มงานคดี
กองพุทธศาสนสถาน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้รวบรวมข้อมูลวัดในประเทศไทย โดยปัจจุบันพบว่ามีจำนวนรวมทั้งสิ้น 43,305 วัด โดยจังหวัดที่มีวัดมากที่สุดคือ จังหวัดนครราชสีมา มีจำนวน 2,204 วัด1 ทั้งนี้ “วัด” ถือเป็นสถานที่ที่สำคัญต่อวิถีชีวิตของชาวพุทธ เป็นสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจใช้ประกอบงานพิธีกรรมต่างๆ ตามวัฒนธรรม ประเพณี การบวช การทำบุญในวาระต่างๆ ตลอดจนพิธีกรรมเกี่ยวกับความตาย วัดจึงอยู่คู่กับคนไทยตั้งแต่เกิดจนตาย2 แต่วัดก็มีปัญหาเรื่องที่ดินของจำนวนมากเช่นกัน ทั้งที่ปรากฏเป็นข่าวตามสื่อต่างๆ และไม่เป็นข่าว ไม่ว่าจะเป็นกรณีวัดที่ตั้งมาอายุมากกว่าร้อยปีแต่ยังไม่มีโฉนดที่ดิน วัดที่ตั้งอยู่ในเขตที่ราชพัสดุ ที่ดินสาธารณประโยชน์ พื้นที่ป่าอนุรักษ์ พื้นที่ป่า เขตปฏิรูปที่ดิน หรือพื้นที่นิคมสหกรณ์ โดยตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ วัดมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 ได้กำหนดให้วัดมี 2 ลักษณะ คือ (1) วัดที่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา และ (2) สำนักสงฆ์ วัดมีฐานะเป็นนิติบุคคล และให้เจ้าอาวาสเป็นผู้แทนของวัดในกิจการทั่วไป3 ที่วัดและที่ซึ่งขึ้นต่อวัดแบ่งเป็น 3 ประเภท4 ได้แก่
- ที่วัด คือ ที่ตั้งวัดตลอดจนเขตของวัดนั้น เป็นที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดใดวัดหนึ่งโดยเฉพาะ
- ที่ธรณีสงฆ์ คือ ที่ซึ่งเป็นสมบัติของวัด แต่ไม่ใช่ที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งวัด เช่น ที่ดินที่มีผู้อุทิศยกให้แก่วัด
- ที่กัลปนา คือ ที่ดินที่เจ้าของอุทิศเพียงผลประโยชน์จากที่ดินนั้นให้วัดหรือพระศาสนาเท่านั้น ไม่ใช่ทรัพย์สินของวัด
ส่วนกรณีวัดร้างที่ไม่มีพระภิกษุอาศัย ในระหว่างที่ยังไม่มีการยุบเลิกวัด สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะมีหน้าที่ปกครองดูแลรักษาวัด ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ และทรัพย์สินของวัดนั้น ส่วนวัดที่ถูกยุบเลิก ทรัพย์สินของวัดที่ถูกยุบเลิกจะตกเป็นศาสนสมบัติกลาง การสร้างวัดในที่ดินของรัฐจะต้องดำเนินการขออนุญาตใช้ที่ดินของรัฐต่อหน่วยงานที่ดูแลรักษาที่ดินนั้นๆ ก่อน เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว จึงจะสามารถดำเนินการสร้างวัดต่อไปได้ โดยจะรวบรวมหลักเกณฑ์ของการได้มาซึ่งที่ดินของวัดตามประมวลกฎหมายที่ดิน และกรณีที่วัดขออนุญาตใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐในพื้นที่ต่างๆ ดังต่อไปนี้
1. การได้มาซึ่งที่ดินของวัด
ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 84 บัญญัติว่า
“การได้มาซึ่งที่ดินของวัดวาอาราม ... ต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี และให้ได้มาไม่เกิน 50 ไร่”
ในกรณีที่เป็นการสมควร รัฐมนตรีจะอนุญาตให้ได้มาซึ่งที่ดินเกินจำนวนที่บัญญัติไว้ในวรรคแรกก็ได้
บทบัญญัติในมาตรานี้ไม่กระทบกระเทือนการได้มาซึ่งที่ดินที่มีอยู่แล้วก่อนวันที่ประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับ ...
การขออนุญาตให้ได้มาซึ่งที่ดินของวัด ตามมาตรา 84 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินนั้น จะต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี ในจำนวนไม่เกิน 50 ไร่ แต่ในกรณีที่เป็นการสมควร รัฐมนตรีจะอนุญาตในจำนวนเกิน 50 ไร่ก็ได้ ซึ่งจะไม่กระทบถึงการได้มาซึ่งที่ดินที่มีอยู่แล้วก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ กรมที่ดินจึงได้จัดทำคู่มือการขอได้มาซึ่งที่ดินของวัดวาอารามตามมาตรา 84 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน5 ประกอบกับรวบรวมและปรับปรุงหลักเกณฑ์วิธีการการได้มาซึ่งที่ดินของวัดวาอาราม ตามมาตรา 84 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินขึ้นใหม่เป็นระเบียบกรมที่ดินว่าด้วยการได้มาซึ่งที่ดินของวัดวาอาราม ตามมาตรา 84 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2552 ออกตามความในมาตรา 84 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งวัดที่จะมีสิทธิถือครองที่ดินได้จะต้องมีสภาพเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ซึ่งการพิจารณาสภาพการเป็นนิติบุคคลของวัด ให้พิจารณาจากหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้
- หนังสือรับรองสภาพวัดของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (กรมการศาสนา)
- สำเนาประวัติวัด หรือสำเนาทะเบียนวัด ซึ่งรับรองโดยทางราชการ
- ประกาศตั้งวัดของกระทรวงศึกษาธิการ
- ประกาศตั้งวัดของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปด้วยความถูกต้องและเป็นไปแนวทางเดียวกัน เจ้าหน้าที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่สามารถปฏิบัติงานด้วยความสะดวกรวดเร็ว มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ถูกต้อง และเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
กรมที่ดินได้ดำเนินการออกโฉนดที่ดินให้กับ “วัดร้าง” รวมถึง “ที่ดินของวัด” พบว่า ในห้วงเดือนกรกฎาคม 2566 มีการออกโฉนดแล้ว 298 แปลง จากบัญชี “วัดร้าง” 2,759 แปลง ที่ได้สำรวจจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยนำมาจำแนกประเภทที่ดิน และส่งให้เจ้าหน้าที่เดินสำรวจดำเนินการออกเอกสารสิทธิต่อไป ส่วนการดำเนินการออกเอกสารสิทธิในที่ดินของวัด พบว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคม - กรกฎาคม 2566 มี “วัด” ยื่นคำขอออกหนังสือแสดงสิทธิรวม 1,847 แปลง มีการออกโฉนดที่ดินให้วัดแล้ว 139 แปลง อยู่ระหว่างดำเนินการ 1,708 แปลง ซึ่งในการประชุม “คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ระดับจังหวัด” พิจารณาคําขอใช้ประโยชน์พื้นที่ของวัดในพื้นที่กรมป่าไม้ พบว่า มีวัดและที่พักสงฆ์อยู่ในเขตหวงห้ามไม่ได้เข้ารับการพัฒนาถึง 899 แห่ง และให้กรมป่าไม้พิจารณาอนุญาตให้ใช้ประโยชน์พื้นที่ และให้ “กรมที่ดิน” สนับสนุนช่างรังวัดในการรังวัด กรณีมีการยื่นขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าไม้เพื่อตั้งวัด/ที่พักสงฆ์/ศาสนสถาน
สำหรับ “การแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้” นั้น กรมป่าไม้ รายงานว่า มีที่พำนักสงฆ์ สำนักสงฆ์ ขออนุญาตจัดตั้งวัดในพื้นที่ ป่า/ถ้ำ จนถึงปี พ.ศ. 2565 จำนวน 8,529 แห่งทั่วประเทศ ทั้งในเขตป่าสงวนแห่งชาติและป่าตามมาตรา 4 (1) แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 บัญญัติว่า “ป่า” หมายความว่า ที่ดินที่ยังมิได้มีบุคคลใดได้มาตามกฎหมายที่ดิน6 และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ระบุว่า มีวัดและสำนักสงฆ์ที่มีการยื่นขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าไม้เพื่อการสร้างวัดตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 และวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ทั้งหมด 10,730 คำขอ และให้โครงการเพื่อสร้างศาสนสถานและสถานที่ประกอบกิจกรรมทางศาสนา เป็นโครงการที่ไม่ต้องจัดสรรงบประมาณค่าปลูกป่าชดเชย ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 25657
2. กรณีวัดขออนุญาตใช้ที่ดินของรัฐ
การขออนุญาตใช้ที่ดินของทางราชการ มีหลักเกณฑ์ดังนี้
- ผู้ยื่นรายงานขออนุญาตใช้ที่ดินของทางราชการเพื่อสร้างวัด ต้องเป็นผู้นำในพื้นที่และเป็นผู้ที่เคารพนับถือยกย่องของประชาชนในพื้นที่เท่านั้น
- ต้องให้ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน นายอำเภอ เจ้าหน้าที่ หน่วยงานผู้ดูแลพื้นที่ที่จะขอใช้สร้างวัดนั้น ผู้ปกครองฝ่ายสงฆ์ ผู้ว่าราชการจังหวัด พิจารณาให้ความเห็นชอบตามลำดับ
- พื้นที่ที่จะขออนุญาตใช้สร้างวัดนั้นต้องเป็นที่ดินที่ทางราชการสามารถจะดำเนินการอนุญาตให้ใช้สร้างวัดได้เท่านั้น
- ที่ดินที่จะขอสร้างวัดนั้นต้องมีจำนวนไม่น้อยกว่า 6 ไร่ และเหมาะสมกับการเป็นที่อยู่อาศัยของสมณเพศ
- มีบ้านเรือนประชาชนตั้งอาศัยอยู่เป็นหลักมั่นคงอยู่โดยรอบ และเชื่อได้ว่าจะสามารถบำรุงส่งเสริมวัดที่จะสร้างได้และต้องตั้งอยู่ห่างจากวัดอื่นไม่น้อยกว่า 2 กิโลเมตร8
2.1 กรณีขออนุญาตใช้ที่ดินในพื้นที่ป่า
การยื่นขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าไม้เพื่อการสร้างวัดจะต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2563 และวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ซึ่งวัดหรือสำนักสงฆ์ที่ยื่นขออนุญาตจะต้องอยู่ในบัญชีรายชื่อที่ได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ระดับจังหวัดที่มีมติให้ขออนุญาตสร้างวัดให้ถูกต้องตามกฎหมาย แบ่งเป็น 2 พื้นที่ ได้แก่
2.1.1 เขตป่าสงวนแห่งชาติ
การขออนุญาตเพื่อสร้างศาสนสถานทางศาสนาพุทธ ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ยื่นคำขออนุญาตตามระเบียบคณะกรรมการพิจารณาการใช้ประโยชน์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการขออนุญาตและการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2565 ซึ่งออกตามความในมาตรา 13/8 (3) และมาตรา 16 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 ข้อ 6 การขออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ตาม (2) เพื่อสร้างศาสนสถาน ข้อ 7 วรรคเจ็ด และหลักเกณฑ์การพิจารณาอนุญาตต้องเป็นไปตาม หมวด 2 และหมวด 3
2.1.2 ป่า ตามมาตรา 4 (1) แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484
การขออนุญาตสร้างวัดตามกฎหมายคณะสงฆ์ ต้องยื่นผ่านสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยให้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นผู้ลงนามในคำขออนุญาต โดยให้ยื่นขออนุญาตตามกฎกระทรวงการขออนุญาตและการอนุญาตทำประโยชน์ในเขตป่า พ.ศ. 2558 ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 54 วรรคสอง และมาตรา 58 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ข้อ 5 (8) เพื่อสร้างศาสนสถาน และข้อ 6 และหลักเกณฑ์การพิจารณาอนุญาตต้องเป็นไปตามหมวด 2 และหมวด 3
2.2 กรณีขออนุญาตใช้ที่ดินในที่ราชพัสดุ
การขออนุญาตใช้ที่ราชพัสดุสำหรับการสร้างวัดหรือใช้ประโยชน์ในกิจการทางศาสนา ให้ผู้ยื่นรายงานขอใช้ที่ดินของทางราชการเพื่อสร้างวัด เสนอรายงานฯ ต่อเจ้าหน้าที่ปกครองบ้านเมืองและผู้ปกครองสงฆ์ให้ความเห็นและลงนาม แล้วให้สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดยื่นขออนุญาตตามข้อ 3 และข้อ 4 ของกฎกระทรวงการใช้ที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2563 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 วรรคหนึ่ง และมาตรา 19 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562 โดยยื่นต่อกรมธนารักษ์ในกรณีที่ราชพัสดุตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ หรือสำนักงานธนารักษ์พื้นที่ซึ่งที่ราชพัสดุตั้งอยู่พิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เมื่อสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทำบันทึกข้อตกลงและรับหนังสืออนุญาตให้ใช้ที่ดินแล้วแจ้งให้ผู้ยื่นรายงานทำบันทึกข้อตกลงและให้ดำเนินการขออนุญาตสร้างวัดหรือตั้งวัดต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต่อไป
2.3 กรณีขออนุญาตใช้ที่ดินในพื้นที่เขตปฏิรูปที่ดิน
การพิจารณาอนุญาตให้ใช้พื้นที่ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อการศาสนานั้น คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (คปก.) ได้กำหนดให้ดำเนินการตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยการมอบหมายให้เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พิจารณาอนุญาตการใช้ที่ดินเพื่อกิจการสาธารณูปโภคและกิจการอื่น ๆ ในเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. 2536 (ระเบียบสาธารณูโภค ) ออกโดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 19 (3) (6) และ (12) แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2518 โดยข้อ 5 และข้อ 8 กำหนดให้ส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐหรือเอกชนที่ดำเนินการโดยไม่หวังผลกำไร ซึ่งในทางปฏิบัติงาน ได้แก่ สำนักงานพระพุทธศาสนา หรือวัด (ที่เป็นนิติบุคคล) สามารถขออนุญาตใช้ที่ดินเพื่อการศาสนาสำหรับจัดตั้งศาสนสถานตามประเพณีแห่งท้องถิ่นได้จำนวนเนื้อที่ไม่เกิน 15 ไร่ ซึ่งเป็นอำนาจการอนุญาตของเลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ส่วนกรณีจำนวนเนื้อที่เกินกว่า 15 ไร่ และการขออนุญาตใช้ที่ดินเพื่อกิจการอื่น ๆ ตามระเบียบข้อ 17 เป็นอำนาจการพิจารณาของ คปก. ทั้งนี้ คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจังหวัดต้องให้ความเห็นชอบก่อนเสนอสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพิจารณา ตามข้อ 4 ของฉบับเดียวกัน9
2.4 กรณีขออนุญาตใช้ที่ดินในพื้นที่นิคมสหกรณ์
ในกรณีที่ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ นิติบุคคล หรือบุคคลใดประสงค์จะ ขออนุญาตสร้างวัด สำนักสงฆ์หรือสถานประกอบพิธีกรรมทางศาสนาภายในพื้นที่นิคมสหกรณ์ ต้องได้รับความเห็นชอบเป็นหนังสือจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และผู้ยื่นคำขออนุญาตต้องมิใช่พระสงฆ์ และต้องมีภูมิลำเนาอยู่ในประเทศไทย จึงจะสามารถยื่นคำขอตามระเบียบกรมส่งเสริมสหกรณ์ ว่าด้วยการบริหารจัดการนิคมสหกรณ์ พ.ศ. 2562 ข้อ 32 โดยให้ยื่นคำขอต่อผู้อำนวยการนิคมสหกรณ์ตามแบบที่กำหนดท้ายระเบียบนี้และรายงานสหกรณ์จังหวัดเพื่อนำเสนออธิบดีเพื่อพิจารณาคำขออนุญาตและต้องไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ชุมชน วัฒนธรรม ประเพณี อาชีพการเกษตร และอื่น ๆ
2.5 กรณีขออนุญาตใช้ที่ดินในที่ดินสาธารณประโยชน์
การใช้ที่ดินสาธารณประโยชน์เพื่อตั้งวัดหรือสร้างวัดและมีการก่อสร้างอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างที่มีสภาพเป็นถาวรวัตถุเพื่อใช้ประกอบศาสนกิจ มิใช่เป็นการใช้เพื่อประโยชน์ราชการไม่อาจดำเนินการถอนสภาพที่ดินตามมาตรา 8 วรรคสอง (1) แห่งประมวลกฎหมายที่ดินได้ ดังนั้น การจะขอตั้งวัดหรือสร้างวัดในที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้เท่านั้น ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายในกรณีดังกล่าวแต่อย่างใด
การขออนุญาตเข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐเป็นการชั่วคราวตามมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ผู้ขออนุญาตต้องปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการอนุญาตตามมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2543 พนักงานเจ้าหน้าที่จะอนุญาตให้ใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐเป็นการชั่วคราว กำหนดระยะเวลาคราวละไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันออกใบอนุญาต โดยผู้ขออนุญาตต้องเสียค่าตอบแทนให้แก่รัฐตามมาตรา 9/1 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ที่ดินที่ได้รับอนุญาตจะยังคงมีสถานะเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันอยู่และการอนุญาตให้เข้าใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐเป็นการชั่วคราว ลักษณะของการใช้ประโยชน์ในที่ดินจะต้องเป็นการก่อสร้างอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างที่มีลักษณะไม่มั่นคงถาวรซึ่งอาจรื้อถอนได้เมื่อสิ้นสุดระยะเวลาการอนุญาต กรณีการสร้างวัดนั้นเป็นการก่อสร้างอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างถาวร จึงไม่สามารถขออนุญาตใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐตามมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดินได้เช่นกัน10
2.6 กรณีขออนุญาตใช้ที่ดินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ ได้แก่ อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า และเขตห้ามล่าสัตว์ป่า
พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2562 มิได้กำหนดหลักเกณฑ์การขออนุญาต และการอนุญาตใช้พื้นที่อุทยานแห่งชาติไว้เป็นการเฉพาะ ซึ่งการขออนุญาตใช้พื้นที่อุทยานแห่งชาติตั้งสำนักสงฆ์ และที่พักสงฆ์นั้น จะต้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 18 เมษายน 2538 เพื่อจัดตั้งภายใต้โครงการพุทธอุทยานซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการส่งเสริมให้วัด สำนักสงฆ์ ที่พักสงฆ์ ช่วยงานด้านป่าไม้ ตามแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้11 โดยหลักเกณฑ์และแนวทางปฏิบัติ ในการร่วมดำเนินโครงการพุทธอุทยานในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ระหว่างพระสงฆ์กับพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น เป็นการป้องกันมิให้นำพื้นที่โครงการที่ได้รับอนุญาตไปใช้ผิดวัตถุประสงค์หรือแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ และการดำเนินโครงการมิใช่การอนุญาตให้สร้างวัดในพื้นที่ป่าไม้ หรือมอบพื้นที่ให้ที่พักสงฆ์ดูแลรับผิดชอบโดยตรง แต่พระสงฆ์จะต้องดำเนินโครงการร่วมกับพนักงานเจ้าหน้าที่
จะเห็นได้ว่า ปัญหาเรื่องการใช้ที่ดินของวัด ถึงแม้จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่เมื่อมีการขออนุญาต ใช้พื้นที่อย่างถูกต้องไม่ว่าจะตามกฎหมายของพื้นที่นั้น ๆ เมื่อได้รับการอนุญาตและมีหลักฐานแล้ว ก็สามารถลดปัญหาระหว่างวัดกับหน่วยงานของรัฐได้มาก ซึ่งปัจจุบันหน่วยงานของรัฐได้ดำเนินการแก้ไข ปรับปรุง กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องให้มีความเหมาะสม เพื่อให้การใช้ประโยชน์ของวัดในที่ดินของรัฐเป็นไป โดยชอบด้วยกฎหมายและเกิดประโยชน์สูงสุด
เพราะ “วัด” คือ ศูนย์ยึดเหนี่ยวจิตใจของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย
1 สำนักงานสถิติแห่งชาติ. สถิติบุคลากรและศาสนสถานทางศาสนาในประเทศไทย. เข้าถึงเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2566 จาก https://ittdashboard.nso.go.th/preview.php?id_project=56.
2 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ. (2560). วัดที่คนไทยอยากเห็น. เข้าถึงเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2566 จาก https://www.thaihealth.or.th/?p=240548.
3 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 79 ตอนที่ 114 ฉบับพิเศษ (31 ธันวาคม 2505), มาตรา 31 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535.
4 พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505, ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 79 ตอนที่ 114 ฉบับพิเศษ (31 ธันวาคม 2505), มาตรา 33
5 หนังสือกรมที่ดิน ที่ มท 0515/ว 24645 ลงวันที่ 10 สิงหาคม 2548 เรื่อง การขอได้มาซึ่งที่ดินของวัดวาอาราม ตามมาตรา 84 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
6 ผู้จัดการออนไลน์. (2566). สนองนโยบาย “มหาเก่ง” เร่งออกโฉนดที่ดิน “วัดร้าง” 2,759 แปลง ทด. แจ้ง “มหาดไทย” ปีนี้ออกโฉนดแล้ว 298 แปลง ใน 43 จังหวัด. เข้าถึงเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2566 จาก https://mgronline.com/politics/detail/9660000067993.
7 เชียงใหม่นิวส์. (2565). จัดระเบียบใช้พื้นที่ป่า พบมี 10,730 คำขอยื่นสร้างวัดและสำนักสงฆ์. เข้าถึงเมื่อ 27 พฤศจิกายน 2566 จาก https://www.chiangmainews.co.th/news/2733736/.
8 สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา. (2565). รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การจัดตั้งและแก้ไขปัญหาศาสนสถานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของทางราชการ, หน้า 68. เข้าถึงเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2566 จาก https://shorturl.asia/N2cVi.
9 สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม. (2562). คู่มือการปฏิบัติงานการขอใช้ที่ดินของวัดหรือสำนักสงฆ์ในเขตปฏิรูปที่ดิน กรณีเนื้อที่เกินกว่า 15 ไร่. เข้าถึงเมื่อ 23 พฤศจิกายน 2566 จาก https://alro.go.th/uploads/org/legal_aff/download/ article/article_20191120145818.pdf.
10 หนังสือกรมที่ดิน ด่วนที่สุด ที่ มท 0511.3/26926 ลงวันที่ 28 ธันวาคม 2565 เรื่อง การขอใช้ที่ดินสาธารณประโยชน์เพื่อสร้างวัด ตามมาตรา 9 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน
11 รายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การจัดตั้งและแก้ไขปัญหาศาสนสถานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของทางราชการ, หน้า 53.