กระบวนการพิสูจน์สิทธิฯ ตามมาตรการที่ คทช. กำหนด เป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพื่อพิสูจน์ให้ทราบว่าระหว่างรัฐกับเอกชนผู้ใดจะมีสิทธิดีกว่ากัน ...

โดย นายเกษตรพงศ์ เหน่งเพ็ชร1

นายอดิศักดิ์ ไชยสำพัง2

กองกฎหมาย

กลุ่มงานพัฒนากฎหมาย

บทนำ

การพิสูจน์สิทธิในที่ดิน คือ การค้นหาความจริงหรือการทำความจริงให้ปรากฏ ในกรณีที่เกิดข้อโต้แย้งหรือข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินระหว่างประชาชนกับหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่ดูแลรักษา คุ้มครองป้องกันหรือใช้ประโยชน์ในที่ดินของรัฐ เพื่อทำข้อเท็จจริงให้เป็นที่ยุติว่าระหว่างประชาชนกับหน่วยงานของรัฐ ฝ่ายใดครอบครองหรือทำประโยชน์ในที่ดินมาก่อนกัน และควรมีสิทธิดีกว่า3

คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ได้กำหนดมาตรการที่เกี่ยวข้องในกระบวนการพิสูจน์สิทธิ จำนวน 2 มาตรการ โดยกระบวนการพิสูจน์สิทธิตามมาตรการที่ คทช. กำหนดนั้น มีคำถามหรือข้อหารือ ทั้งจากหน่วยงานราชการ หรือประชาชน ว่าหากพิสูจน์สิทธิฯ แล้ว ผลปรากฏว่า ประชาชนครอบครองมาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐจะสามารถออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่ อย่างไร และตามข้อกฎหมายใด แต่เนื่องจากที่ดินของรัฐมีหลายประเภท และแต่ละประเภทก็จะมีกฎหมายกำหนดแตกต่างกันไป บทความนี้จึงนำพื้นที่ตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตต์หวงห้ามที่ดินในท้องที่ อำเภอเมืองกาญจนบุรี อำเภอวังขนาย อำเภอบ้านทวน และอำเภอวังกะ จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. 2481 เป็นกรณีศึกษา ซึ่งผลการศึกษาสามารถนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินการในพื้นที่อื่น ๆ ได้ หากมีข้อเท็จจริงใกล้เคียงกัน

ความเป็นมาของปัญหา

ที่ดินของประเทศไทย สมัยก่อนนั้นถือว่าเป็นของพระเจ้าแผ่นดินทั้งหมดทั้งสิ้น ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) ได้ทรงตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 ซึ่งใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2479 ดังนั้น การหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าเพื่อให้เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ตั้งแต่วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2479 จนถึงก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ (วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2497) จึงต้องกระทำโดยการตราพระราชกฤษฎีกา และประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยต้องมีแผนที่แสดงเขตที่ดินแนบท้ายพระราชกฤษฎีกาด้วยจึงจะชอบด้วยกฎหมาย4 ต่อมาเมื่อประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 4 (6) ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 แต่ในมาตรา 10 ได้กำหนดให้ที่ดินซึ่งหวงห้ามตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 หรือตามกฎหมายอื่นอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับให้คงเป็นที่หวงห้ามต่อไป ดังนั้น พื้นที่ในเขตตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตต์หวงห้ามที่ดินในท้องที่อำเภอเมืองกาญจนบุรี อำเภอวังขนาย อำเภอบ้านทวน และอำเภอวังกะ จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. 2481 จึงยังคงเป็นที่หวงห้ามตามกฎหมายต่อไป และเนื่องจากพื้นที่ในเขตพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวได้หวงห้ามไว้ใช้ในราชการทหาร พื้นที่ดังกล่าวจึงเป็นพื้นที่ราชพัสดุ ตามพระราชบัญญัติที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562 โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ราชพัสดุและกรมธนารักษ์มีหน้าที่ในการปกครอง ดูแล และบำรุงรักษาที่ราชพัสดุดังกล่าว

รูปภาพแผนที่แนบท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตต์หวงห้ามที่ดินในท้องที่อำเภอเมืองกาญจนบุรี
อำเภอวังขนาย อำเภอบ้านทวน และอำเภอวังกะ จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. 2481

ที่มา: พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตต์หวงห้ามที่ดินในท้องที่อำเภอเมืองกาญจนบุรี
อำเภอวังขนาย อำเภอบ้านทวน และอำเภอวังกะ จังหวัดกาญจนบุรี พุทธศักราช 2481
ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 55 (17 ตุลาคม 2481), หน้า 515

ปัจจุบันประชาชนยังคงอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีการกำหนดเขตหวงห้ามที่ดินที่ออกตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 ส่งผลให้เกิดกรณีพิพาทระหว่างรัฐกับประชาชนจำนวนมาก

มาตรการพิสูจน์สิทธิฯ ของ คทช.

คทช. ได้มีการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมา 2 ชุด เพื่อดำเนินการในกระบวนการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐ คือ คณะอนุกรรมการพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐจังหวัด (คพร.จังหวัด) และคณะอนุกรรมการอ่านภาพถ่ายทางอากาศ โดย คทช. ได้กำหนดมาตรการที่เกี่ยวข้องในกระบวนการพิสูจน์สิทธิ จำนวน 2 มาตรการ คือ (1) เรื่อง การพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ และ (2) เรื่อง ขั้นตอนและวิธีการดำเนินงานอ่านภาพถ่ายทางอากาศ โดยในบทความนี้ จะขอกล่าวถึงเฉพาะมาตรการ เรื่อง การพิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินของบุคคลในเขตที่ดินของรัฐ โดยข้อสำคัญของมาตรการต้องมีพยานหลักฐานที่เกี่ยวกับที่ดินแปลงนั้น ซึ่งแสดงว่าได้ครอบครองทำประโยชน์อย่างต่อเนื่องมาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐครั้งแรก ดังนี้

  • มาตรการข้อ 1.1 เอกสารที่ทางราชการทำขึ้นและพิสูจน์ได้ว่า เป็นเอกสารซึ่งลงวันที่ก่อนการเป็นที่ดินของรัฐ เช่น ใบเหยียบย่ำ โฉนดตราจอง พินัยกรรมที่ทำที่อำเภอ สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ทำที่อำเภอ เป็นต้น
  • มาตรการข้อ 1.2 เอกสารที่ทางราชการทำขึ้นและพิสูจน์ได้ว่า เป็นเอกสารซึ่งลงวันที่ภายหลังการเป็นที่ดินของรัฐ แต่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ (วันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2497) โดยเอกสารดังกล่าวมีข้อความแสดงว่าได้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินแปลงนั้นมาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐ เช่น ใบเหยียบย่ำ โฉนดตราจอง พินัยกรรมที่ทำที่อำเภอ สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่ทำที่อำเภอ เป็นต้น
  • มาตรการข้อ 1.3 พยานหลักฐานอื่นนอกจากข้อ 1.1 และ 1.2 เช่น แบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) พยานบุคคล พยานวัตถุ เป็นต้น เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานนั้นมีส่วนสนับสนุนคำกล่าวอ้างว่ามีการครอบครองทำประโยชน์มาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐ ให้ดำเนินการอ่าน แปล ตีความภาพถ่ายทางอากาศของกรมแผนที่ทหารที่ถ่ายภาพพื้นที่นั้นไว้เป็นครั้งแรกหลังจากเป็นที่ดินของรัฐ หากปรากฏร่องรอยการทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ในภาพถ่ายทางอากาศ จึงจะเชื่อตามพยานหลักฐานอื่นนั้น

จะเห็นได้ว่า กรณีพยานหลักฐานตามมาตรการ ข้อ 1.3 หากพยานหลักฐานนั้น มีส่วนสนับสนุนคำกล่าวอ้างว่ามีการครอบครองทำประโยชน์มาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐ ให้ดำเนินการอ่าน แปล ตีความภาพถ่ายทางอากาศ โดยพยานหลักฐานซึ่งราษฎรกล่าวอ้างเพื่อประกอบในการพิสูจน์สิทธิฯ ส่วนมากจะเป็นพยานหลักฐานตาม ข้อ 1.3 โดยพยานหลักฐานตาม ข้อ 1.3 เป็นข้อสันนิษฐานในการรับฟังพยานเนื่องจากพยานหลักฐานตามข้อ 1.3 มิใช่เอกสารที่ทางราชการทำขึ้น น้ำหนักในการรับฟังจึงค่อนข้างน้อย โดยต้องนำผลการอ่าน แปล ตีความภาพถ่ายทางอากาศมาประกอบ หากปรากฏร่องรอยการทำประโยชน์ในที่ดินอยู่ในภาพถ่ายทางอากาศ จึงจะเชื่อตามพยานหลักฐานอื่นนั้น และนำไปดำเนินการตามมาตรการพิสูจน์สิทธิ ข้อ 3 ที่กำหนดว่า เมื่อได้พิสูจน์สิทธิการครอบครองที่ดินตามข้อ 1 แล้ว ปรากฏว่า มีการครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินมาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐ ให้ คพร.จังหวัด แจ้งผลการพิสูจน์สิทธิดังกล่าวให้บุคคลที่ครอบครองที่ดินทราบภายในกำหนด 30 วันทำการ และแจ้งให้หน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษา ดำเนินการดังนี้

  1. กรณีหน่วยงานของรัฐดังกล่าว เห็นด้วยกับมติของ คพร.จังหวัด ให้แจ้งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบต่อไป
  2. กรณีที่หน่วยงานของรัฐดังกล่าว ไม่เห็นด้วยกับมติ คพร.จังหวัด ให้พิจารณาดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ต่อไป

โดยในบทความนี้ จะกล่าวถึงในเฉพาะข้อ (1) กรณีหน่วยงานของรัฐดังกล่าว เห็นด้วยกับมติของ คพร.จังหวัด กล่าวโดยสรุป คือ หากหน่วยงานของรัฐดังกล่าว เห็นด้วยกับมติของ คพร. จังหวัด ให้แจ้งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดดำเนินการตามกฎหมายและระเบียบต่อไป ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดจะดำเนินการออกโฉนดที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งได้กำหนดให้ดำเนินการตามกฎกระทรวงฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ในข้อ 14 กล่าวคือ ที่ดินที่จะออกโฉนดที่ดินต้องเป็นที่ดินที่ผู้มีสิทธิในที่ดินได้ครอบครองและทำประโยชน์แล้ว และเป็นที่ดินที่สามารถออกโฉนดที่ดินได้ตามกฎหมาย แต่ห้ามมิให้ออกโฉนดที่ดินสำหรับที่ดินดังต่อไปนี้5

  1. ที่ดินที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ ที่ชายตลิ่ง
  2. ที่เขา ที่ภูเขา และพื้นที่ที่รัฐมนตรีประกาศหวงห้าม ตามมาตรา 9 (2) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน แต่ไม่รวมถึงที่ดินซึ่งผู้ครอบครองมีสิทธิครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายที่ดิน
  3. ที่เกาะ แต่ไม่รวมถึงที่ดินของผู้ซึ่งมีหลักฐานแจ้งการครอบครองที่ดิน มีใบจอง ใบเหยียบย่ำ หนังสือรับรองการทำประโยชน์ โฉนดตราจอง ตราจองที่ตราว่าได้ทำประโยชน์แล้ว หรือเป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อการครองชีพ หรือที่ดินที่คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติได้อนุมัติให้จัดแก่ประชาชน หรือที่ดินซึ่งได้มีการจัดหาผลประโยชน์ ตามมาตรา 10 และมาตรา 11 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยคณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติได้อนุมัติแล้ว
  4. ที่สงวนหวงห้ามตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 20 (3) และ (4) แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2526 หรือกฎหมายอื่น
  5. ที่ดินที่คณะรัฐมนตรีสงวนไว้เพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติหรือเพื่อประโยชน์สาธารณะอย่างอื่น

กรณีที่เข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิฯ ใน คพร. จังหวัด โดยราษฎรอ้างพยานบุคคล ถึงแม้ว่าจะพิสูจน์สิทธิฯ โดยปรากฏร่องรอยการทำประโยชน์ในผลการอ่านแปลภาพถ่ายทางอากาศ เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดก็ไม่อาจจะออกเอกสารสิทธิให้แก่ราษฎรผู้ยื่นคำขอพิสูจน์สิทธิได้ เนื่องจากเป็นกรณีห้ามมิให้ออกโฉนดที่ดิน โดยเฉพาะในพื้นที่เขา ภูเขา หรือพื้นที่เกาะ เว้นแต่ราษฎรจะมีเอกสารสิทธิตามที่กำหนดในกฎกระทรวงฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2537) โดยเรื่องทำนองนี้ สคทช. มักจะได้หนังสือร้องทุกข์จากราษฎร หรือข้อหารือจากหน่วยงานราชการเพื่อให้ได้แนวทางแก้ไขปัญหากรณีราษฎรพิสูจน์สิทธิแล้ว น่าเชื่อว่าอยู่มาก่อนความเป็นที่ดินของรัฐแต่ไม่สามารถออกโฉนดที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ ซึ่งผู้เขียนจะกล่าวถึงสภาพปัญหาและข้อเสนอแนวทางแก้ไขในบทความต่อไป

ข้อวินิจฉัยโดยนำข้อเท็จจริงมาปรับกับข้อกฎหมายและตัวอย่างกรณีศึกษา

ในกรณีปัญหาดังกล่าว มีแนวคำวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายของคณะกรรมการกฤษฎีกาพอเป็นแนวทางในการปฏิบัติ โดยเทียบเคียงความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา จำนวน 2 เรื่อง ดังนี้

  1. เรื่องเสร็จที่ 117/2534 เรื่อง ปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) และการแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา จังหวัดสตูล มีสาระสำคัญของคำวินิจฉัยว่า การเข้าครอบครองที่ดินและทำประโยชน์ก่อนพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) แม้ว่าจะไม่ได้รับอนุญาตก็มีสิทธิครอบครองที่ดินนั้น ตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ก็เป็นการครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย อาจขอออกโฉนดที่ดินหรือขอหนังสือรับรองการทําประโยชน์ได้ตามประมวลกฎหมายที่ดินได้6
  2. เรื่องเสร็จที่ 160/2551 เรื่อง การออกโฉนดที่ดินในเขตที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดิน ในท้องที่อำเภอเมืองกาญจนบุรี อำเภอวังขนาย อำเภอบ้านทวน และอำเภอวังกะ จังหวัดกาญจนบุรี พุทธศักราช 2481 มีสาระสำคัญของคำวินิจฉัยว่า การเข้าครอบครองที่ดินและทำประโยชน์หลังพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) หากไม่ดำเนินการแจ้งตามที่กฎหมายกำหนด แม้มีการครอบครองที่ดิน ก็เป็นการครอบครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่อาจขอออกโฉนดที่ดินหรือขอหนังสือรับรองการทําประโยชน์ได้ ตามประมวลกฎหมายที่ดินได้7

จากความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาทั้งสองเรื่องดังกล่าว เมื่อนำมาพิจารณาประกอบกับพยานหลักฐานเกี่ยวกับการพิสูจน์สิทธิในพื้นที่กรณีศึกษาเขตที่มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตต์หวงห้ามที่ดิน ในท้องที่อำเภอเมืองกาญจนบุรี อำเภอวังขนาย อำเภอบ้านทวน และอำเภอวังกะ จังหวัดกาญจนบุรี พ.ศ. 2481 จึงขอวินิจฉัยกรณีตัวอย่าง ดังนี้

  1. การเข้าครอบครองที่ดินและทำประโยชน์ก่อนพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 ใช้บังคับ (12 เมษายน พ.ศ. 2480) แม้ว่าจะไม่ได้รับอนุญาตก็มีสิทธิครอบครองที่ดินนั้น ตามมาตรา 13 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ซึ่งหมายความว่ากฎหมายได้ผ่อนผันให้ผู้ครอบครองและทำประโยชน์อยู่่ในที่ดินโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นผู้มีสิทธิในที่ดินที่ตนได้้ครอบครองและทำประโยชน์ แต่ทั้งนี้ต้องปรากฏว่าที่ดินดังกล่าวนั้น มิใช่เป็นที่สงวนหวงห้ามเพื่อประโยชน์ของทางราชการหรือที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินสําหรับใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ ดังนั้น การครอบครองและทําประโยชน์ในที่ดินอยู่ก่อนวันที่พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2497 ใช้บังคับ จึงเป็นการครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้ต่อมาจะมีการออกพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตหวงห้ามที่ดินในท้องที่ใด ทับที่ดินที่เจ้าของมีสิทธิครอบครอง ก็ไม่ทําให้เสียสิทธิครอบครอง คงถือว่าเจ้าของมีสิทธิครอบครองตลอดมาจนใช้บังคับประมวลกฎหมายที่ดิน ซึ่งอาจขอออกโฉนดที่ดินหรือขอหนังสือรับรองการทําประโยชน์ได้ตามประมวลกฎหมายที่ดิน
    1. กรณีตัวอย่างที่ 1 ราษฎรผู้ยื่นคำขอพิสูจน์สิทธิ มีพยานหลักฐานเป็นแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค. 1) โดยมีข้อความระบุว่า เข้าทำกินมาตั้งแต่ พ.ศ. 2478 ซึ่งเป็นเวลาก่อนพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินฯ และเป็นเวลาก่อนการใช้บังคับพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 จึงมิใช่ที่ดินรกร้างว่างเปล่า ที่รัฐอาจกำหนดหวงห้ามเพื่อใช้ประโยชน์ในราชการทหาร ด้วยการออกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินฯ ดังกล่าวได้ และไม่มีผลทำให้ที่ดินนั้นกลายเป็นที่หวงห้าม ดังนั้น ผู้ครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว ยังคงมีสิทธิครอบครองตลอดมาจนถึงเวลาการใช้บังคับของประมวลกฎหมายที่ดิน และเมื่อได้แจ้งการครอบครอง ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 แล้ว ผู้ครอบครองและทำประโยชน์ รวมตลอดถึงผู้รับโอนที่ดินนั้น ก็สามารถขอออกโฉนดที่ดินได้
    2. กรณีตัวอย่างที่ 2 ราษฎรผู้ยื่นคำขอพิสูจน์สิทธิ มีพยานหลักฐานเป็นพยานบุคคล แม้ว่าจะเข้าสู่กระบวนการพิสูจน์สิทธิฯ จนน่าเชื่อว่าเข้าครอบครองมาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐ แต่เนื่องจากมิได้แจ้ง ส.ค.1 แม้ที่ดินจะมีการครอบครองทำประโยชน์มาก่อนการหวงห้าม แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่าผู้ครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินมิได้มีการปฏิบัติให้ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เนื่องจากการมิได้แจ้งการครอบครอง ส.ค.1 ไว้เป็นหลักฐาน ย่อมมีผลให้ที่ดินแปลงนี้ตกอยู่ภายใต้บังคับพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินฯ ด้วยการตกเป็นที่ดินหวงห้ามอันถือได้ว่าเป็นที่ดินของรัฐ และต้องห้ามมิให้นำไปออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน
  2. การเข้าครอบครองที่ดินและทําประโยชน์ภายหลังพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 ใช้บังคับแล้ว (12 เมษายน พ.ศ. 2480) ผู้ครอบครองที่ดินจะต้องขออนุญาตจับจองที่ดินตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และเมื่อได้รับอนุญาตให้จับจองแล้วก็ต้องทําประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว ภายในเวลาที่กฎหมายกําหนดจึงจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น และหากผู้ใดเข้าครอบครองที่ดินโดยไม่ได้รับอนุญาต ย่อมมีความผิด ตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 และถือว่าไม่ใช่เป็นผู้ครอบครองที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย คงถือว่าเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าและกลายเป็นที่หวงห้ามเมื่อประกาศใช้พระราชกฤษฎีกากําหนดเขตหวงห้ามที่ดินในท้องที่ใด การครอบครองที่หวงห้ามดังกล่าวต่อมาจึงไม่ทําให้เกิดสิทธิแต่อย่างใด และเมื่อประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับแล้ว แม้จะได้แจ้งการครอบครองไว้ก็ไม่อาจขอออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทําประโยชน์ได้
    1. กรณีตัวอย่างที่ 3 ราษฎรผู้ยื่นคำขอพิสูจน์สิทธิมีพยานหลักฐานเป็นแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) โดยมีข้อความระบุว่าเข้าทำกินมาตั้งแต่เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2480 เนื่องจากเป็นการครอบครองและทําประโยชนในที่ดินหลังวันที่พระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 ใช้บังคับ ซึ่งเป็นกรณีที่ปรากฏว่าที่ดินดังกล่าวยังไม่ได้มีการประกาศเป็นที่สงวนหวงห้ามเพื่อประโยชน์ ของทางราชการหรือเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน กรณีนี้แยกพิจารณา 2 ประเด็น
      1. ประเด็นที่ 1 กรณีได้รับอนุญาต (มีใบเหยียบย่ำ) กรณีนี้เมื่อผู้ครอบครองขออนุญาตจับจองที่ดินตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และเมื่อได้รับอนุญาตให้จับจองที่ดินแล้วก็ต้องทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ผู้ครอบครองจึงจะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นและขอออกโฉนดที่ดินได้
      2. ประเด็นที่ 2 กรณีไม่ได้รับอนุญาต (ไม่มีใบเหยียบย่ำ) ถือว่าผู้เข้าครอบครองที่ดินโดยไม่ได้รับอนุญาต ย่อมมีความผิดตามมาตรา 15 แห่งพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 และถือว่าไม่ใช่ผู้ครอบครองที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย คงถือว่าเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าและกลายเป็นที่หวงห้ามเมื่อประกาศใช้พระราชกฤษฎีกากําหนดเขตต์หวงห้ามที่ดินฯ พ.ศ. 2481 การครอบครองที่หวงห้าม ต่อมาไม่ทําให้เกิดสิทธิแต่ประการใด และเมื่อประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับแล้ว ก็ไม่อาจขอออกโฉนดที่ดินได้

ทั้งนี้ การพิสูจน์สิทธิในที่ดินของรัฐ ตามมาตรการ คทช. นั้น นอกจากจะพิจารณาตามข้อกฎหมายและพยานหลักฐานแล้ว ยังต้องพิจารณาตามแนวคำวินิจฉัยของคณะกรรมการกฤษฎีกา ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2482 ซึ่งกำหนดว่า เมื่อกระทรวง ทบวง กรมใด มีความสงสัยในปัญหาข้อกฎหมาย และได้ส่งปัญหาในทางกฎหมายนั้น ๆ มาเพื่อขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็น และเมื่อคณะกรรมการกฤษฎีกาให้ความเห็นในทางกฎหมายเป็นประการใดแล้ว ให้เป็นไปตามความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกานั้น อย่างไรก็ตาม บางกรณีหน่วยงานของรัฐอาจมีการนำคำพิพากษาศาลฎีกามาปรับใช้ เพื่อประโยชน์ในการพิจารณาแก้ไขปัญหาได้ เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา

บทสรุป

กระบวนการพิสูจน์สิทธิฯ ตามมาตรการที่ คทช. กำหนด เป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพื่อพิสูจน์ให้ทราบว่าระหว่างรัฐกับเอกชนผู้ใดจะมีสิทธิดีกว่ากัน โดยผลการพิสูจน์สิทธิที่ออกมานั้นมีทั้งกรณีที่ปรากฏว่าราษฎรอยู่มาก่อนความเป็นที่ดินของรัฐ ก็สามารถออกโฉนดที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินได้ และกรณีที่ราษฎรแม้จะพิสูจน์สิทธิแล้วปรากฏว่าอยู่มาก่อนการเป็นที่ดินของรัฐ แต่ก็ติดข้อกฎหมายบางประการ ห้ามมิให้ออกโฉนดที่ดิน โดยรัฐก็สามารถนำมาเป็นข้อมูลเพื่อกำหนดนโยบาย หรือเสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว ซึ่งเป็นเรื่องท้าทาย คทช. ที่มีหน้าที่และอำนาจในการกำหนดนโยบายและแผนการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศว่าควรกำหนดนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาตามกรณีที่กล่าวมาข้างต้นไปในทิศทางใด เพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์ทรัพยากรกับสิทธิของประชาชน เพื่อให้การบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรดินของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดประโยชน์สูงสุด เป็นธรรม และยั่งยืน ตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ พ.ศ. 2562


อ้างอิง

1 นิติกรชำนาญการพิเศษ กลุ่มงานพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ

2 นิติกรปฏิบัติการ กลุ่มงานพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ

3 มูฮัมหมาด ยังหะสัน. (2566). การพิสูจน์สิทธิในที่ดินเพื่ออำนวยความเป็นธรรม เข้าถึงเมื่อ 24 พฤศจิกายน 2566 จาก https://www.onlb.go.th/about/featured-articles/5135-a5135.

4 เกษตรพงศ์ เหน่งเพ็ชร. (2561). การหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าเพื่อใช้เป็นที่สาธารณประโยชน์ภายหลังพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 ใช้บังคับ โดยไม่ทำให้ถูกต้องตามบทกฎหมายที่่กำหนด มีผลทําให้ที่ดินรกร้างว่างเปล่าไม่เป็นที่หวงห้ามเสมอไปหรือไม่ เข้าถึงเมื่อ 24 พฤศจิกายน 2566 จาก https://shorturl.asia/dZPAW.

5 กฎกระทรวงฉบับที่ 43 (พ.ศ. 2537) ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497, ข้อ14.

6 บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 117/2534 เรื่อง ปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3.) และการแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) ในเขตอุทยานแห่งชาติตะรุเตา จังหวัดสตูล.

7 บันทึกสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่องเสร็จที่ 160/2551 เรื่อง การออกโฉนดที่ดินในเขตที่มีพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตหวงห้ามที่ดินในท้องที่อําเภอเมืองกาญจนบุรี อําเภอวังขนาย อําเภอบ้านทวน และอําเภอวังกะ จังหวัดกาญจนบุรี พุทธศักราช 2481.


epetitions

complaint

Slide

รางวัล คนดีศรี สคทช. ประจำปี 2567

Slide

รางวัล คนดีศรี สคทช. ประจำปี 2567

Slide

รางวัล คนดีศรี สคทช. ประจำปี 2567

Slide

รางวัล คนดีศรี สคทช. ประจำปี 2567

Slide

รางวัล คนดีศรี สคทช. ประจำปี 2567

Slide

รางวัล คนดีศรี สคทช. ประจำปี 2567

Slide

รางวัล คนดีศรี สคทช. ประจำปี 2567

Slide

รางวัล คนดีศรี สคทช. ประจำปี 2567

previous arrow
next arrow
Slide