รู้จักกฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (EU Regulation on Deforestation-free products: EUDR) ...
โดย นางสาวอณุภรณ์ วรรณวิเศษ
นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการ
กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กลุ่มงานวิจัยและวิเคราะห์มาตรการ
การประกาศใช้กฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (EU Regulation on Deforestation-free products: EUDR) ของสหภาพยุโรป เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2566 ทำให้หลายประเทศทั่วโลกที่มีการส่งออกสินค้าควบคุมภายใต้ EUDR ไปยังสหภาพยุโรปเกิดความตื่นตัวเป็นอย่างมาก แม้ว่าปัจจุบันกฎหมายฉบับนี้ยังอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่านก่อนจะมีผลในทางปฏิบัติเต็มรูปแบบ หากแต่ประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยก็ต้องเร่งเตรียมความพร้อม เพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะสามารถปฏิบัติตามข้อบังคับและไม่หลุดจากห่วงโซ่อุปทานของโลก บทความนี้จึงจะนำเสนอรายละเอียดเกี่ยวกับ EUDR ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร มีข้อบังคับกับใคร เมื่อไร และอย่างไร มีกลไกการตรวจสอบอย่างไร มีบทลงโทษอย่างไร และสุดท้ายคือจะมีผลกระทบกับประเทศไทยอย่างไรบ้าง
ทำไมต้องมี EUDR
แนวคิดการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงการผลิตและการบริโภคที่ยั่งยืน และการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบกับความสามารถในการสนองความต้องการในการใช้ทรัพยากรของคนในรุ่นต่อไป เป็นแนวคิดสำคัญภายใต้เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) โดยป่าไม้ ถือว่าเป็นทรัพยากรธรรมชาติที่มีความสำคัญยิ่ง ทั้งในการรักษาสมดุลและให้บริการของระบบนิเวศ ความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นแหล่งต้นน้ำ และช่วยดูดซับก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาโลกร้อน ทั้งนี้ ข้อมูลจาก FAO และ UNEP (2020) พบว่าในปี 2020 โลกของเรามีพื้นที่ป่าไม้ทั้งหมดประมาณ 31 เปอร์เซ็นต์ ของพื้นที่ทั้งหมด โดยประมาณ 1/3 เป็นป่าปฐมภูมิ (primary forest) อย่างไรก็ดี ปัญหาป่าถูกทำลายและป่าเสื่อมโทรมยังคงเกิดขึ้นในอัตราที่น่ากังวล เนื่องจากพื้นที่ป่าถูกปรับเปลี่ยนไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น โดยเฉพาะพื้นที่เกษตร ทั้งนี้ พบว่าระหว่างปี ค.ศ. 2015 – 2020 อัตราที่ป่าไม้ถูกทำลายอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านเฮกตาร์ต่อปี และพื้นที่ป่าปฐมภูมิของทั่วโลกลดลงกว่า 80 ล้านเฮกตาร์นับแต่ปี ค.ศ. 19901
สหภาพยุโรปในฐานะผู้บริโภคหนึ่งในสามของผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ค้าขายในตลาดโลกที่มีความเชื่อมโยงกับการทำลายป่าในระหว่างปี ค.ศ. 1990 – 2008 และผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าการบริโภคของสภาพยุโรปในสินค้าโภคภัณฑ์ (commodities) 7 ชนิด ได้แก่ โค โกโก้ กาแฟ น้ำมันปาล์ม ยางพารา ถั่วเหลือง และไม้ จะส่งผลให้เกิดการทำลายป่าโดยเฉลี่ย 248,000 เฮกตาร์ต่อปีภายในปี ค.ศ. 20302 จึงนำมาสู่การประกาศใช้กฎหมายว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (EU Regulation on Deforestation-free products: EUDR) เพื่อลดผลกระทบจากการบริโภคของสหภาพยุโรปที่ก่อให้เกิดการทำลายป่าและทำให้ป่าเสื่อมโทรม และยังช่วยสนับสนุนการดำเนินงานภายใต้ European Green Deal ตลอดจนข้อตกลงระหว่างประเทศอื่น ๆ เช่น UN Strategic Plan for Forests 2017 – 2030, UNFCCC, CBD และ SDGs3

EUDR ใช้บังคับกับใครและเมื่อไร
EUDR ใช้บังคับ (Entry into force) เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2566 (2023) โดยกำหนดระยะเปลี่ยนผ่านไว้ 18 เดือน จึงจะมีผลในทางปฏิบัติ (Entry into application) สำหรับผู้ประกอบการและผู้ค้ารายใหญ่ (Large operators and traders) ในสหภาพยุโรปที่มีการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าควบคุมภายใต้ EUDR ในสหภาพยุโรป ในวันที่ 30 ธันวาคม 2567 และให้เวลาเปลี่ยนผ่าน 2 ปี สำหรับผู้ประกอบการและผู้ค้ารายย่อย (SME operators and traders) ในวันที่ 30 มิถุนายน 2568 อย่างไรก็ดี เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 รัฐสภายุโรปได้มีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมาธิการยุโรปเสนอให้ขยายเวลาการมีผลในทางปฏิบัติของ EUDR ไปอีก 1 ปี เพื่อให้ประเทศสมาชิก ประเทศคู่ค้าอื่น ผู้ค้า และผู้ประกอบการสามารถเตรียมการเพื่อรองรับการดำเนินการตามข้อกำหนด EUDR ทำให้ EUDR จะมีผลในทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบการและผู้ค้ารายใหญ่ในวันที่ 30 ธันวาคม 2568 และสำหรับผู้ประกอบการและผู้ค้ารายย่อยในวันที่ 30 มิถุนายน 2569
EUDR มีข้อบังคับอย่างไร
EUDR กำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการนำสินค้าควบคุม ประกอบด้วย โค โกโก้ กาแฟ น้ำมันปาล์ม ยางพารา ถั่วเหลือง และไม้ รวมผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องตามรายการที่ระบุไว้ในภาคผนวก อาทิ ยางรถยนต์ ถุงมือยาง กระดาษ เครื่องหนัง และเฟอร์นิเจอร์จากไม้ เป็นต้น มาจำหน่ายในสหภาพยุโรปหรือส่งออกจากสหภาพยุโรป เพื่อต้องการลดการที่สหภาพยุโรปมีส่วนเป็นสาเหตุในการทำลายป่าหรือทำให้ป่าเสื่อมโทรม ตลอดจนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพของโลก ดังนั้น EUDR จึงบังคับใช้กับผู้ประกอบการและผู้ค้าที่มีการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าควบคุมภายใต้ EUDR ในสหภาพยุโรป
Article 4 ของ EUDR กำหนดว่าสินค้าควบคุมจะไม่สามารถนำมาวางจำหน่ายในตลาดของสหภาพยุโรปหรือส่งออกจากสหภาพยุโรปได้ ยกเว้นสามารถดำเนินการได้ตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้
- ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า (Deforestation-free) กล่าวคือ สินค้าควบคุมภายใต้ EUDR ทั้ง 7 ชนิดต้องไม่ผลิตจากที่ดินที่เกี่ยวข้องกับการตัดไม้ลายป่าและทำให้เกิดป่าเสื่อมโทรม (Forest degradation) ตั้งแต่วันที่ 31 ธันวาคม 2563 เป็นต้นไป
- สินค้ามาจากกระบวนการผลิตที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายต่าง ๆ ของประเทศผู้ผลิต อาทิ กฎหมายที่ดิน แรงงาน สิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม ป่าไม้ และภาษี เป็นต้น
- ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System) คือ การทำให้ระบบคอมพิวเตอร์มีความชำนาญเฉพาะทางจากข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นให้กับระบบเพื่อประยุกต์ใช้ AI แทนผู้เชี่ยวชาญ เช่น ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประยุกต์ใช้ AI ในการซื้อขายหุ้น หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่ประยุกต์ใช้ AI ในการวินิจฉัยโรค เป็นต้น
- มีเอกสารแสดงถึงสถานะการตรวจสอบและประเมินสินค้า (Due Diligence Statement) ตามขั้นตอนที่สหภาพยุโรปกำหนด โดยผู้ประกอบการและผู้ค้าจะต้องจัดส่งเอกสารดังกล่าว ก่อนจะนำเข้าหรือส่งออกสินค้าควบคุม ซึ่งประกอบด้วย
- ข้อมูลและเอกสารเกี่ยวกับสินค้าตลอดห่วงโซ่การผลิตที่แสดงให้เห็นว่าสินค้าควบคุมนั้นปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด เช่น ชื่อทางการค้า ปริมาณที่นำเข้าหรือส่งออก ประเทศที่ผลิต พิกัดทางภูมิศาสตร์ของแปลงปลูกหรือสถานที่ผลิต (Geolocation) ชื่อ ที่อยู่ และไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ของ suppliers และหลักฐานที่แสดงว่าสินค้าควบคุมไม่ได้มาจากการตัดไม้ทำลายป่าและสินค้ามาจากการปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
- ผลการประเมินความเสี่ยงว่าสินค้าควบคุมที่จะนำเข้าในสหภาพยุโรป/ส่งออกจากสหภาพยุโรปจะไม่สามารถดำเนินการได้ตามเงื่อนไขภายใต้ EUDR โดยสินค้าควบคุมที่ไม่มีความเสี่ยงหรือมีความเสี่ยงเล็กน้อยเท่านั้นจึงจะสามารถนำเข้า/ส่งออกได้ โดยการประเมินความเสี่ยงจะครอบคลุมด้านป่าไม้ สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล และต้องดำเนินการอย่างน้อยปีละครั้ง
- มาตรการและกระบวนการบรรเทาผลกระทบที่เหมาะสม ในกรณีที่ตรวจพบความเสี่ยงว่าสินค้าควบคุมไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้ อาทิ การขอข้อมูลหรือเอกสารเพิ่มเติม และการตรวจสอบที่เป็นอิสระ เป็นต้น
EUDR มีกลไกการตรวจสอบการปฏิบัติตามอย่างไร
ประเทศสมาชิก EU แต่ละประเทศจะมอบหมายหน่วยงานให้ตรวจสอบการปฏิบัติตาม EUDR ของผู้ประกอบการและผู้ค้าในประเทศของตน บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ความเสี่ยงของแต่ละประเทศที่การผลิตสินค้าควบคุมจะไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด EUDR ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ระดับ โดยกำหนดขั้นต่ำในการสุ่มตรวจการดำเนินงานของผู้ประกอบการและผู้ค้า ดังนี้ (1) อย่างน้อยร้อยละ 1 สำหรับผู้ประกอบการหรือผู้ค้าที่มีการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าควบคุมที่ผลิตจากประเทศที่ถูกจัดว่าอยู่ในประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ (low risk) (2) อย่างน้อยร้อยละ 3 สำหรับประเทศที่มีความเสี่ยงปานกลาง (standard risk) และ (3) อย่างน้อยร้อยละ 9 สำหรับประเทศที่มีความเสี่ยงสูง (high risk) โดยการตรวจสอบสำหรับผู้ประกอบการและผู้ค้าที่ไม่ใช่ SMEs จะเป็นการตรวจสอบระบบประเมินความเสี่ยง การประเมินความเสี่ยง และกระบวนการลดความเสี่ยง ตลอดจนเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้น อาจรวมถึงการตรวจสอบในพื้นที่จริงหากมีประเด็นที่มีความน่าสงสัยอีกด้วย ขณะที่การตรวจสอบสำหรับผู้ประกอบการและผู้ค้าที่เป็น SMEs จะเป็นการตรวจสอบเอกสารและบันทึกข้อมูลที่เกี่ยวข้อง การสุ่มตรวจ หรือการตรวจสอบในพื้นที่
EUDR มีมาตรการแก้ไขและบทลงโทษอย่างไร
หากพบว่าผู้ประกอบการหรือผู้ค้าไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของ EUDR หน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจะต้องแจ้งให้ผู้ประกอบการหรือผู้ค้าดำเนินการแก้ไขตามมาตรการที่กำหนดอย่างน้อยหนึ่งมาตรการ กล่าวคือ ดำเนินการแก้ไขสิ่งที่ปฏิบัติไม่ถูกต้องให้เป็นไปตามกฎหมาย ห้ามไม่ให้วางจำหน่ายหรือส่งออกสินค้าควบคุมในตลาด เก็บคืน/เรียกคืน หรือบริจาคเพื่อสาธารณประโยชน์ นอกจากนั้น บทลงโทษของกฎหมายนี้ ประกอบด้วย ค่าปรับ ยึดสินค้าควบคุมที่ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ยึดรายได้จากการจำหน่าย ยกเว้นชั่วคราวจากกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างสาธารณะและจากการเข้าถึงแหล่งทุนสาธารณะเป็นระยะเวลาสูงสุด 12 เดือน ห้ามวางจำหน่ายหรือส่งออกสินค้าชั่วคราว (ในกรณีกระทำผิดร้ายแรงหรือกระทำผิดซ้ำ)
ประเทศไทยได้รับผลกระทบจาก EUDR อย่างไร
ข้อมูลการส่งออกสินค้าควบคุมของประเทศไทยภายใต้ EUDR ในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 (ม.ค. - มิ.ย. 2567) โดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์4 พบว่าประเทศไทยส่งออกสินค้าภายใต้ EUDR ไปยังสหภาพยุโรปรวมมูลค่า 379.47 ล้านเหรียญสหรัฐ (ขยายตัวร้อยละ 49.94 )จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า เรียงลำดับตามมูลค่าการส่งออกสูงสุด ดังนี้
- ยางพารา 314.82 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 51.67
- ไม้ 49.06 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 24.71
- ปาล์มน้ำมัน 11.85 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 488.80
- โกโก้ 3.56 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 10.15
- กาแฟ 0.18 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 6.54
- ถั่วเหลือง 0.001 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 44.37
ส่วนโคเป็นสินค้าที่ไทยไม่มีการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป
แม้ว่าในปัจจุบัน ประเทศไทยมีการส่งออกสินค้าควบคุมภายใต้ EUDR ไปยังสหภาพยุโรปไม่มากนักเมื่อเทียบกับการส่งออกจากไทยไปตลาดโลก (มีสัดส่วนร้อยละ 7.65 ของมูลค่าการส่งออกไปตลาดโลก) แต่ทิศทางการขยายตัวของสินค้าหลายประเภทก็แสดงให้เห็นถึงโอกาสและศักยภาพของประเทศไทยที่จะสามารถส่งออกสินค้าควบคุมเหล่านี้ไปยังสหภาพยุโรปได้มากขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ จากสัดส่วนการส่งออกข้างต้น จะเห็นว่า ยางพาราและไม้เป็นสินค้าที่จะได้รับผลกระทบจาก EUDR สูง เนื่องจากมีมูลค่าการส่งออกจากไทยไปยังสหภาพยุโรปรวมกว่าร้อยละ 75 โดยผลิตภัณฑ์จากยางพาราที่มีการส่งออก อาทิ ยางพาราแปรรูป (ยางแท่ง และยางแผ่นรมควัน) ยางรถยนต์ ถุงมือ ขณะที่ผลิตภัณฑ์จากไม้ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบสูง ได้แก่ กระดาษ ทั้งกระดาษและกระดาษแข็งไม่เคลือบ และกระดาษชำระ เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารและเครื่องใช้ในครัว เบาะนั่งกรอบไม้ เฟอร์นิเจอร์ไม้ รูปแกะสลักและเครื่องประดับไม้ และบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากไม้ อย่างไรก็ดี ประเทศไทยมีการส่งออกน้ำมันปาล์มไปยังสหภาพยุโรปไม่มากนัก โดยส่วนใหญ่เป็นน้ำมันปาล์มดิบ (Crude palm oil) และเคมีภัณฑ์ที่เป็นผลิตภัณฑ์ปลายน้ำของน้ำมันปาล์ม5
ผลกระทบต่อผู้ประกอบการและผู้ค้าในประเทศไทย
การประกาศใช้กฎหมาย EUDR ของสหภาพยุโรปส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการและผู้ค้าในประเทศไทยทั้งเชิงลบและเชิงบวก ดังนี้
ผลกระทบเชิงลบ
- ผู้ผลิตและผู้ส่งออกของไทยจะมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น เนื่องจากต้องมีการจัดเตรียมและรวบรวมข้อมูล เอกสาร หรือจัดทำระบบเก็บรวมรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ เพื่อรายงานตามที่ EUDR กำหนด (Compliance cost) เพื่อใช้ประกอบการตรวจสอบย้อนกลับห่วงโซ่การผลิต เช่น พิกัดข้อมูลพื้นที่เอกสารรับรองที่ดินที่ถูกต้องตามกฎหมาย เอกสารรับรองการใช้แรงงานที่ถูกต้อง หรือเอกสารรับรองมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม เป็นต้น
- ผู้ประกอบการรายย่อยอาจประสบปัญหาการดำเนินการตามข้อกำหนดของ EUDR โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเก็บข้อมูล การจัดเตรียมเอกสารหรือต้องมีค่าใช้จ่ายเพื่อดำเนินการให้ได้มาซึ่งการรับรองตามมาตรฐานสากล เพื่อพิสูจน์การปฏิบัติตามเงื่อนไข ทำให้หลุดจากห่วงโซ่อุปทาน ไม่สามารถจำหน่ายให้กับผู้ประกอบการที่ส่งสินค้าไปยังสหภาพยุโรปได้
- ผู้ผลิตและผู้ส่งออกอาจถูกผลักภาระให้ต้องจ่ายค่าปรับหรือค่าเสียหายจากการใช้มาตรการแก้ไขหรือบทลงโทษ โดยผู้ประกอบการหรือผู้ค้าที่สั่งสินค้าควบคุมภายใต้ EUDR ไปวางจำหน่าย หากพบว่าไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด
ผลกระทบเชิงบวก
- เพิ่มโอกาสทางการค้าในการขยายส่วนแบ่งในตลาดสหภาพยุโรปของผู้ผลิตและผู้ส่งออกในประเทศไทยมีความพร้อมในการดำเนินการภายใต้ EUDR รวมถึงหากได้รับการประเมินว่าเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ
- ช่วยยกระดับมาตรฐานการเกษตรในประเทศให้มุ่งสู่การทำเกษตรแบบแบบยั่งยืนตามมาตรฐานสากลที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
- ช่วยพัฒนาระบบการจัดเก็บข้อมูลเกษตรกร ฐานข้อมูลสินค้าเกษตรและการติดตามกระบวนการผลิตสินค้าเกษตรภายในประเทศ (traceability)
- ช่วยลดการทำลายป่าในประเทศ ทำให้เกิดประโยชน์ต่อระบบนิเวศ สภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพ ตลอดจนช่วยสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายตามพันธกรณีของไทยด้านป่าไม้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความหลากหลายทางชีวภาพ
จะเห็นได้ว่ากฎหมาย EUDR เป็นหนึ่งในการนำนโยบายการค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ ซึ่งเป็นแนวโน้มของกติกาการค้าโลกที่หลายประเทศจะนำมาใช้มากขึ้น ประเทศไทย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน จึงต้องปรับตัวและเตรียมความพร้อมเพื่อไม่ให้เสียโอกาสและหลุดออกจากห่วงโซ่การค้าโลก โดยภาครัฐต้องสร้างกลไกเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามกติกาใหม่ ๆ เช่น จัดทำแผนที่ป่าไม้ของประเทศไทย พัฒนาระบบจัดเก็บและติดตามข้อมูลสินค้าสำหรับการตรวจสอบย้อนหลัง ออกเอกสารรับรองการใช้ประโยชน์ที่ดินถูกต้องตามกฎหมาย โดยเฉพาะที่ดินที่รัฐอนุญาตให้ประชาชนอยู่อาศัยในพื้นที่ป่า เช่น พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ พื้นที่จัดที่ดินทำกินให้ชุมชนภายใต้คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) เอกสารรับรองการปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายแรงงาน สร้างสิ่งแวดล้อมในประเทศที่ช่วยส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมธรรมภิบาล ภาคเอกชนและประชาชนต้องให้ความสำคัญกับการทำเกษตรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยั่งยืนตามมาตรฐานสากล มีการดำเนินงานที่ถูกต้องตามกฎหมายตลอดห่วงโซ่การผลิต ด้วยความร่วมมือร่วมของทุกภาคส่วนและการมีหน่วยงานกลางที่รับผิดชอบการบริหารจัดการเพื่อรับมือกับ EUDR อย่างเป็นเอกภาพและครอบคลุม จะทำให้ประเทศไทยมีความพร้อมในการปรับตัวและจะช่วยให้ถูกจัดว่ามีความเสี่ยงต่ำที่จะไม่ปฏิบัติตาม EUDR (low risk) อันจะช่วยเพิ่มโอกาสทางการค้าและการลงทุนของผู้ผลิตและผู้ประกอบการของไทยในตลาดโลกในอนาคต
อ้างอิง
1 FAO and UNEP, 2020. The State of the World’s Forests 2020. Forests, biodiversity and people. Rome.
2 European Union, 2023. REGULATION (EU) 2023/1115 OF THE EUROPEAN PARLIAMENT AND OF THE COUNCIL of 31 May 2023 on the making available on the Union market and the export from the Union of certain commodities and products associated with deforestation and forest degradation and repealing Regulation (EU) No 995/2010. Official Journal of the European Union. Retrieved from https://eur-lex.europa.eu/legal-content/EN/TXT/?uri=CELEX%3A32023R1115
3 UNFCCC คือ อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change)
CBD คือ อนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological Diversity)
SDGs คือ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals)
4 สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า, (2567). สำรวจความพร้อมของไทย นับถอยหลังสู่ EUDR เต็มรูปแบบ. ข่าวสารสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า. เข้าถึงได้จาก https://tpso.go.th/news/2409-0000000018
5 Prapan Leenoi, 2566. EUDR เมื่อสินค้าที่ส่งออกไปสหภาพยุโรปต้องปราศจากการทำลายป่า. วิจัยกรุงศรี. เข้าถึงได้จาก https://www.krungsri.com/th/research/research-intelligence/eudr-2023